คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1729/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

จำเลยเข้าไปขอเงินและยืมรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายผู้เป็นบิดาของจำเลย แต่ผู้เสียหายปฏิเสธ จำเลยจึงใช้อาวุธมีเหน็บปลายแหลมฟันแทงผู้เสียหายที่หัวไหล่ด้านขวาและศีรษะอย่างละหนึ่งครั้ง แล้วแทงที่หลังของผู้เสียหายอีกหนึ่งครั้ง ยังไม่น่าจะเป็นเหตุผลเพียงพอที่จะบ่งชี้ให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาถึงขนาดจะต้องมุ่งประสงค์ต่อชีวิตของผู้เสียหาย ทั้งขณะเกิดเหตุจำเลยมีอาการมึนเมาสุรา แม้จะไม่อาจยกขึ้นเป็นข้อแก้ตัวได้ก็ตาม แต่ก็เป็นพฤติการณ์แวดล้อมให้เห็นว่าการที่จำเลยใช้อาวุธมีดเหน็บปลายแหลมแทงผู้เสียหาย จำเลยไม่ได้กระทำโดยแรง โดยจะเห็นชัดเจนว่า เมื่อจำเลยใช้มีดเหน็บปลายแหลมฟันแทงผู้เสียหายแล้ว ส. ผู้เป็นตาของจำเลยก็สามารถเข้าไปแย่งมีดจากจำเลยไว้ได้ จำเลยจึงวิ่งหลบหนีไป ขณะเกิดเหตุ ส. มีอายุถึง 73 ปี จำเลยมีอายุเพียง 24 ปี หากจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายแล้ว จำเลยก็น่าจะสามารถขัดขืนมิให้ ส. ผู้สูงอายุกว่าแย่งมีดเหน็ปลายแหลมไปได้ ประกอบลักษณะบาดแผลที่ศีรษะ หัวไหล่ด้านขวาและกลางหลัง แม้จะเป็นอวัยวะที่สำคัญ แต่แพทย์ก็ให้ความเห็นว่าถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อนจะหายภายในสองสัปดาห์ อันแสดงว่าบาดแผลมิได้เกิดจากการกระทำที่มุ่งประสงค์ให้ถึงแก่ความตาย เมื่อบาดแผลที่ผู้เสียหายผู้เป็นบิดาของจำเลยได้รับเป็นผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลย จำเลยจึงมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายบุพการีจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจตาม ป.อ. มาตรา 296 นอกจากนี้แม้จำเลยจะทำร้ายร่างกายผู้เสียหายผู้เป็นบุพการีจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ แต่ในชั้นพิจารณาจำเลยก็ให้การรับสารภาพแสดงให้เป็นว่าจำเลยได้รู้สำนึกในความผิดของตน และผู้เสียหายได้เบิกความว่า ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีแก่จำเลยเนื่องจากเป็นบุตรชายเพียงคนเดียว เมื่อจำเลยไม่เคยต้องรับโทษจำคุกมาก่อนจึงเห็นสมควรให้โอกาสจำเลยได้กลับตัวเพื่อรักษาสายสัมพันธ์ทางครอบครัว อันเป็นโครงสร้างพื้นฐานของสังคม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 289
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 ประกอบมาตรา 80 ให้จำคุกตลอดชีวิต จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 คงจำคุก 25 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า การที่จำเลยใช้มีดเหน็บปลายแหลมยาว 48 เซนติเมตร ด้ามยาว 16.5 เซนติเมตร ใบมีดยาว 31.5 เซนติเมตร กว้าง 6 เซนติเมตร เป็นอาวุธฟันแทงนายอาคม จำเริญทรัพย์ ผู้เสียหายผู้เป็นบิดาของจำเลยจำนวนหลายครั้งโดยถูกบริเวณหัวไหล่ ศีรษะและด้านหลัง เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย เป็นการกระทำโดยมีเจตนาฆ่าหรือไม่ เห็นว่า พยานหลักฐานตามทางนำสืบของโจทก์ ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยเข้าไปขอเงินและยืมรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายผู้เป็นบิดาของจำเลย แต่ผู้เสียหายปฏิเสธ จำเลยจึงใช้อาวุธมีดเหน็บปลายแปลมฟันแทงผู้เสียหายที่หัวไหล่ด้านขวาและศีรษะอย่างละหนึ่งครั้ง แล้วแทงที่หลังของผู้เสียหายอีกหนึ่งครั้งจากนั้นนายสาย จันทดวง ผู้เป็นตาของจำเลยเข้าไปแย่งมีดจากจำเลยในขณะที่กำลังเงื้อจะฟันผู้เสียหายอีกเป็นเหตุให้จำเลยวิ่งหลบหนีไป จากข้อเท็จจริงดังกล่าวการที่จำเลยเข้าไปขอเงินและยืมรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายผู้เป็นบิดาของจำเลย แต่ผู้เสียหายปฏิเสธ จำเลยจึงใช้อาวุธมีดเหน็บปลายแหลมฟันแทงยังไม่น่าจะเป็นเหตุผลเพียงพอที่จะบ่งชี้ให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาถึงขนาดจะต้องมุ่งประสงค์ต่อชีวิตของผู้เสียหาย ทั้งยังได้ความจากผู้เสียหายว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยมีอาการมึนเมาสุรา แม้ความมึนเมาจะไม่อาจยกขึ้นเป็นข้อแก้ตัวว่าขณะกระทำความผิดไม่สามารถรู้ผิดชอบหรือไม่สามารถบังคับตนเองได้เพราะมีจิตบกพร่องก็ตาม แต่ก็เป็นพฤติการณ์แวดล้อมให้เห็นว่าการที่จำเลยใช้อาวุธมีดเหน็บปลายแหลมฟันแทงผู้เสียหายดังกล่าว จำเลยมิได้กระทำโดยแรงโดยเห็นได้ชัดเจนว่าเมื่อจำเลยใช้มีดเหน็บปลายแหลมฟันแทงผู้เสียหายแล้วนายสายผู้เป็นตาของจำเลยก็สามารถเข้าไปแย่งมีดเหน็บปลายแหลมจากจำเลยไว้ได้ จำเลยจึงวิ่งหลบหนีไป ขณะเกิดเหตุนายสายมีอายุถึง 73 ปี จำเลยมีอายุเพียง 24 ปี หากจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายแล้ว จำเลยก็น่าจะสามารถขัดขืนมิให้นายสายผู้สูงอายุกว่าแย่งมีดเหน็บปลายแหลมไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาประกอบลักษณะบาดแผลตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลท้ายฟ้อง แม้จะมีบาดแผลที่ศีรษะ หัวไหล่ด้านขวาและกลางหลัง อันเป็นอวัยวะที่สำคัญ แต่แพทย์ก็ให้ความเห็นว่าถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อนจะหายภายในสองสัปดาห์ อันแสดงว่าบาดแผลมิได้เกิดจากการกระทำที่มุ่งประสงค์ให้ถึงแก่ความตาย พยานหลักฐานโจทก์จึงไม่อาจรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าการที่จำเลยใช้อาวุธมีดเหน็บปลายแหลมฟันแทงผู้เสียหายในขณะเกิดเหตุเป็นไปโดยมีเจตนาฆ่า คงฟังได้แต่เพียงว่าจำเลยมีเจตนาทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย เมื่อบาดแผลที่ผู้เสียหายผู้เป็นบิดาของจำเลยได้รับเป็นผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลย จำเลยจึงมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายบุพการีจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 296 ศาลฎีกาจึงไม่เห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองที่ลงโทษจำเลยในความผิดฐานพยายามฆ่าบุพการีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 ประกอบมาตรา 80 ตามที่กล่าวอ้างในคำฟ้อง นอกจากนี้แม้จำเลยจะทำร้ายร่างกายผู้เสียหายผู้เป็นบุพการีจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ แต่ในชั้นพิจารณาจำเลยก็ให้การรับสารภาพแสดงให้เห็นว่า จำเลยได้รู้สำนึกในความผิดของตน และผู้เสียหายได้เบิกความว่า ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีแก่จำเลยเนื่องจากเป็นบุตรชายเพียงคนเดียว เมื่อจำเลยไม่เคยต้องรับโทษจำคุกมาก่อน จึงเห็นสมควรให้โอกาสจำเลยได้กลับตัวเพื่อรักษาสายสัมพันธ์ทางครอบครัว อันเป็นโครงสร้างพื้นฐานของสังคม ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 296 วางโทษจำคุก 3 ปี และปรับ 6,000 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน และปรับ 3,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 3 ปี และคุมความประพฤติจำเลยไว้ 2 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้ฟัง โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติปีละ 3 ครั้ง ตามเงื่อนไขและกำหนดเวลาที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรกำหนด ให้จำเลยละเว้นการประพฤติใดอันอาจนำไปสู่การกระทำความผิดทำนองเดียวกันนี้อีก กับให้กระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยเห็นสมควรมีกำหนด 30 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3

Share