คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1725/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 เป็นบริษัทจำกัด จำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้จัดการผู้มีอำนาจซึ่งเป็นผู้แทนของบริษัทจำเลยที่ 1 ก็ต้องกระทำการไปตามวัตถุประสงค์และข้อบังคับของบริษัทจำเลยที่ 1 และอยู่ในครอบงำของที่ประชุมใหญ่แห่งผู้ถือหุ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 75 และ 1144 เมื่อจำเลยที่ 2 ไปทำสัญญาโอนขายกิจการของบริษัทจำเลยที่ 1 อันเป็นการกระทำที่อยู่นอกขอบวัตถุประสงค์ของบริษัทจำเลยที่ 1 และบรรดาผู้ถือหุ้นก็ไม่เคยประชุมใหญ่อนุมัติให้จำเลยที่ 2 ทำสัญญาโอนขายได้ และสัญญานั้นจะโอนขายหุ้นทั้งหมดให้แก่โจทก์โดยมิได้รับอนุมัติจากที่ประชุมใหญ่ตามข้อบังคับของบริษัทจำเลยที่ 1 ดังนี้ สัญญาโอนหุ้นและกิจการของบริษัทจำเลยที่ 1ที่จำเลยที่ 2 กระทำไปนั้นจึงไม่ผูกพันบริษัทจำเลยที่ 1 และเมื่อจำเลยที่ 2 ทำสัญญาในฐานะผู้แทนของบริษัทจำเลยที่ 1 มิได้เป็นคู่สัญญาในฐานะส่วนตัว จำเลยที่ 2 จึงไม่ถูกผูกพันที่จะโอนหุ้นและส่งมอบกิจการของบริษัทให้แก่โจทก์ด้วย
สัญญามีใจความเพียงว่า บริษัทจำเลยที่ 1 ตกลงโอนขายหุ้นของผู้ถือหุ้นทั้งหมดและรับรองว่าจะจัดให้ผู้ถือหุ้นเดิมลงชื่อโอนให้แก่โจทก์ภายใน 15 วัน การทำสัญญาดังนี้ ยังมิใช่การดำเนินการโอนหุ้นจะนำมาตรา 1129 มาบังคับหาได้ไม่ จึงไม่อาจถือว่าข้อตกลงนี้เป็นโมฆะตามมาตราดังกล่าว
จำเลยที่ 2 ทำสัญญาขายหุ้นและกิจการของบริษัทจำเลยที่ 1แก่โจทก์โดยปราศจากอำนาจที่จะกระทำแทนบริษัทจำเลยที่ 1เมื่อบริษัทจำเลยที่ 1 มิได้ให้สัตยาบันแก่การที่จำเลยที่ 2 เข้าทำสัญญาและตามข้อเท็จจริงก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้รู้อยู่ว่าจำเลยที่ 2 เข้าทำสัญญาโดยปราศจากอำนาจ จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์โดยลำพังตนเองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 823, 1167
ตามคำบรรยายฟ้องและสำเนาหนังสือสัญญาท้ายฟ้อง โจทก์กล่าวว่าบริษัทจำเลยที่ 1 ทำสัญญากับโจทก์ และจำเลยที่ 2 เป็นผู้ลงนามแทนบริษัทจำเลยที่ 1 โดยแสดงให้ปรากฏในสัญญาว่าจำเลยที่ 2เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนามแทนบริษัทและได้รับมอบอำนาจจากที่ประชุมของผู้ถือหุ้นแล้ว ต่อมาจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญา จึงขอให้บังคับจำเลยทั้งสองที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นจำเลยด้วยกันกับจำเลยที่ 1เช่นนี้ พอให้ถือได้ว่าโจทก์ขอให้บังคับเอาแก่จำเลยที่ 2 ด้วยในเมื่อไม่อาจบังคับเอาแก่จำเลยที่ 1 ได้
โจทก์รับซื้อกิจการเดินรถของจำเลยเพื่อดำเนินการเดินรถรับส่งคนโดยสาร เมื่อจำเลยไม่มอบกิจการให้ โจทก์ย่อมไม่ได้รับผลประโยชน์อันควรจะได้ นับว่าเป็นความเสียหายเช่นที่ตามปกติย่อมเกิดขึ้นแต่การที่จำเลยไม่ชำระหนี้ตามสัญญา แม้โจทก์จะนำสืบแสดงจำนวนค่าเสียหายในส่วนนี้ไม่ได้แน่นอนว่าเป็นจำนวนเท่าใด ศาลย่อมกำหนดจำนวนเงินให้จำเลยชดใช้โจทก์ตามที่เห็นสมควรตามพฤติการณ์แห่งคดี
จำเลยที่ 2 ผิดสัญญาไม่อาจโอนหุ้นและกิจการเดินรถให้แก่โจทก์ได้จึงต้องคืนเงินที่รับไว้จากโจทก์ และจะต้องเสียดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่จำเลยผิดสัญญา เพราะไม่มีสิทธิจะเอาเงินไว้ และถือว่าผิดนัดมาตั้งแต่นั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ว่าจำเลยที่ ๑ เป็นบริษัทจำกัดจดทะเบียนโดยมติของที่ประชุมผู้ถือหุ้นได้ลงมติแต่งตั้งให้จำเลยที่ ๒เป็นกรรมการและผู้จัดการ จำเลยที่ ๒ แต่เพียงคนเดียวมีอำนาจลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของบริษัทจำเลยที่ ๑ ทำกิจการทั้งหลายแทนบริษัทจำเลยที่ ๑ ได้ เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๐๘ จำเลยได้ตกลงทำสัญญาขายหุ้นทั้งหมด ใบอนุญาตสัมปทานการเดินรถ รถยนต์โดยสาร๗ คัน และกิจการเดินรถสาย ๓๕ ของบริษัทจำเลยที่ ๑ ให้แก่โจทก์ เป็นเงิน๔๖๕,๐๐๐ บาท โดยจำเลยสัญญาว่าจะส่งมอบกิจการเดินรถในวันทำสัญญา แต่ในทางปฏิบัติได้ตกลงกันให้โจทก์รับมอบกิจการในวันที่ ๑เมษายน ๒๕๐๘ โจทก์ได้ชำระเงิน ๖๕,๐๐๐ บาท ให้แก่จำเลยแล้วในวันทำสัญญา ครั้นถึงวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๐๘ จำเลยผิดสัญญาไม่ยอมโอนหุ้นทั้งหมดให้โจทก์ ไม่ยอมส่งมอบเอกสาร สมุดบัญชี และรถยนต์ให้ไม่ยอมให้โจทก์เข้าดำเนินการรับส่งคนโดยสาร เก็บผลประโยชน์รายได้และยังไม่จดทะเบียนการโอนหุ้นและจดทะเบียนเปลี่ยนแปลง โจทก์เตือนแล้ว จำเลยเพิกเฉย และจำเลยได้ขายกิจการเดินรถให้แก่บุคคลอื่นขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสองส่งมอบกิจการเดินรถสาย ๓๕ โอนหุ้นทั้งหมดส่งมอบรถยนต์ ๗ คัน มอบสรรพเอกสารและทรัพย์สินต่าง ๆ ให้แก่โจทก์แล้วให้จำเลยรับเงินจากโจทก์ ๒๐๐,๐๐๐ บาท หากไม่สามารถมอบและโอนให้ได้ ขอให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหาย หากไม่สามารถส่งมอบกิจการและทรัพย์สินรับโอนหุ้นให้ ก็ให้จำเลยทั้งสองคืนเงิน ๖๕,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ ไม่ใช่ผู้จัดการของจำเลยที่ ๑จำเลยที่ ๑ ไม่เคยตกลงทำสัญญาขายหุ้นทั้งหมดและขายใบอนุญาตสัมปทานให้โจทก์ หากจำเลยที่ ๒ จะได้ทำสัญญากับโจทก์ ก็ไม่ผูกพันจำเลยที่ ๑ เพราะเป็นการกระทำนอกเหนืออำนาจหน้าที่ขัด ต่อกฎหมายและข้อบังคับของบริษัท จำเลยที่ ๑ ไม่เคยรับเงินจากโจทก์จึงไม่มีหน้าที่คืนเงิน
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า เป็นประธานกรรมการบริษัทจำเลยที่ ๑มิได้เป็นกรรมการผู้จัดการตามฟ้อง กรรมการผู้จัดการคือนางสาวนวลฉวีบานเย็น และจำเลยที่ ๒ หรือนายชูศักดิ์ บานเย็น คนใดคนหนึ่งมีอำนาจลงลายมือชื่อแทนบริษัทจำเลยที่ ๑ ได้ โดยต้องประทับตราด้วย จำเลยที่ ๒ได้ทำสัญญาตามฟ้องจริง แต่มีข้อความไม่ตรงกับความจริงบางประการเช่น ระบุว่าจำเลยได้รับมอบอำนาจจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นแล้ว ความจริงไม่ได้รับมอบที่ระบุว่าได้ชำระเงินในวันทำสัญญา ๖๕,๐๐๐ บาทนั้นความจริงผู้ซื้อมอบเงินสดให้เพียง ๑๕,๐๐๐ บาท อีก ๕๐,๐๐๐ บาทออกเช็คให้ ต่อมาโจทก์มาขอร้องว่าอย่าเพิ่งนำเช็คนั้นเข้าบัญชีเรียกเก็บเงินในวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๐๘ ให้รอไว้จนกว่าจะส่งมอบกิจการเดินรถให้เสร็จก่อน จำเลยจึงเชื่อว่าโจทก์ไม่สุจริต ทำการฉ้อฉลหลอกลวงให้จำเลยทำสัญญา สัญญาจึงเป็นโมฆียะ ครั้นวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๐๘โจทก์มาขอให้จำเลยส่งมอบกิจการเดินรถ จำเลยที่ ๒ ได้ทวงเงินตามเช็คโจทก์ไม่จ่ายเงินให้ จึงเป็นการผิดสัญญา จำเลยที่ ๒ จึงไม่ยอมส่งมอบกิจการเดินรถให้ และได้บอกเลิกสัญญา ให้โจทก์รับเงิน ๑๕,๐๐๐ บาทพร้อมด้วยเช็ค ๕๐,๐๐๐ บาทคืนไป แต่โจทก์เพิกเฉย เมื่อโจทก์บิดพลิ้วผิดสัญญา จำเลยที่ ๒ จึงจำเป็นต้องโอนหุ้นของจำเลยที่ ๒ ให้ผู้อื่น บัดนี้จำเลยที่ ๒ และผู้ถือหุ้นบางคนได้โอนหุ้นให้ผู้อื่น เป็นการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงกิจการ ค่าเสียหายตามฟ้องไม่เป็นความจริง
โจทก์ขอให้เรียกนายเชวง ยังสุข นายจิตต์ พงษ์เลื่องธรรมนายธนะผล เอกตระกูล และนายถม คงเจริญ เข้ามาเป็นจำเลยด้วยโดยอ้างว่าจำเลยกับพวกดังกล่าวร่วมกันโอนหุ้นและกิจการบริษัทจำเลยที่ ๑ เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ศาลอนุญาต
จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ให้การว่า ไม่เคยมีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับโจทก์จำเลยได้รับซื้อหุ้นบริษัทจำเลยที่ ๑ จากจำเลยที่ ๒ คนละ ๙๐ หุ้นได้จ่ายเงินและทำสัญญาโอนจดทะเบียนการโอนโดยสุจริต หากโจทก์จะได้ตกลงรับซื้อหุ้นของบริษัทจำเลยที่ ๑ จากผู้ใด การโอนหุ้นก็ไม่มีการจดทะเบียนไว้ จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกไม่ได้
จำเลยที่ ๕ และที่ ๖ ให้การว่า จำเลยซื้อหุ้นจากนางสาวฉวี บานเย็นและจำเลยที่ ๒ โดยสุจริต ได้จ่ายเงินและจดทะเบียนโอนกันถูกต้องตามกฎหมาย
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ตามฟ้องโจทก์มุ่งประสงค์จะให้บริษัทจำเลยที่ ๑ เป็นผู้รับผิดตามสัญญาเพียงคนเดียว หาได้ประสงค์จะให้จำเลยที่ ๒ รับผิดเป็นส่วนตัวไม่ ฉะนั้นการที่จำเลยที่ ๒ ลงลายมือชื่อแทนบริษัทจำเลยที่ ๑ จึงเป็นการกระทำของจำเลยที่ ๑ ส่วนจำเลยที่ ๓, ๔, ๕และ ๖ ที่เข้ามาร่วมถือหุ้นและเป็นกรรมการของบริษัทจำเลยที่ ๑ หาได้มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ไม่ จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ จำเลยที่ ๒ ทำสัญญากับโจทก์โดยไม่ปรึกษาหารือรับความเห็นชอบจากผู้ถือหุ้นเสียก่อนให้ถูกต้องตามข้อบังคับของบริษัทจำเลยที่ ๑ สัญญาที่ทำไว้จึงไม่มีผลบังคับจำเลยที่ ๒ ทำนอกเหนือขอบอำนาจ ย่อมไม่ผูกพันบริษัทจำเลยที่ ๑จำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องรับผิด โจทก์ไม่ได้กล่าวในฟ้องให้ชัดแจ้งเพื่อให้จำเลยที่ ๒ รับผิดเป็นส่วนตัว เพียงแต่ขอรวมมาว่าให้จำเลยที่ ๒ ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ เท่านั้น จะบังคับให้จำเลยที่ ๒ รับผิดยังไม่ได้ บริษัทจำเลยที่ ๑รับเงินสดจากโจทก์เพียง ๑๕,๐๐๐ บาท อีก ๕๐,๐๐๐ บาทจ่ายเป็นเช็คบริษัทจำเลยที่ ๑ ชอบที่จะคืนให้โจทก์ เรื่องค่าเสียหายโจทก์ยังไม่ได้เข้าไปจัดการเก็บผลประโยชน์ เป็นแต่สิทธิในความหวัง ห่างไกลเกินกว่าเหตุโจทก์จึงไม่เสียหาย ข้อที่โจทก์เรียกร้องให้จำเลยชดใช้ค่าหน้าดินนั้นไม่เชื่อว่าโจทก์เช่าที่ดินไว้เพื่อเป็นอู่เก็บรถของสายการเดินรถบริษัทจำเลยที่ ๑จะเรียกร้องเป็นค่าเสียหายไม่ได้ พิพากษาให้บริษัทจำเลยที่ ๑ คืนเงิน๑๕,๐๐๐ บาทและเช็คให้โจทก์ กับชำระดอกเบี้ยในเงิน ๑๕,๐๐๐ บาทนับแต่วันทำสัญญา คำขออื่นให้ยก และให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖
โจทก์และจำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า โจทก์จ่ายเงินกับเช็คให้จำเลยที่ ๒ พิพากษาแก้เป็นให้จำเลยที่ ๒ คืนเงิน ๑๕,๐๐๐ บาทกับเช็คให้โจทก์โดยไม่ต้องใช้ดอกเบี้ย และยกฟ้องเกี่ยวกับจำเลยที่ ๑
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังว่า บริษัทจำเลยที่ ๑ มีกรรมการคือจำเลยที่ ๒ นางสาวฉวีบานเย็น นายชูศักดิ์ บานเย็น และจดทะเบียนอำนาจกรรมการว่าจำเลยที่ ๒หรือนายชูศักดิ์คนใดคนหนึ่งมีอำนาจลงลายมือชื่อแทนจำเลยที่ ๑ ได้ แต่ต้องประทับตราสำคัญของบริษัทจำเลยที่ ๑ ด้วย เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๐๘จำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ กับโจทก์ได้ทำหนังสือสัญญาโอนขายหุ้นและกิจการเดินรถยนต์โดยสารสาย ๓๕ ในราคา ๔๖๕,๐๐๐ บาท
เห็นว่า บริษัทจำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคล มีสิทธิและหน้าที่ภายในขอบวัตถุที่ประสงค์ที่กำหนดไว้ในข้อบังคับหรือตราสารจัดตั้งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๖๙ จำเลยที่ ๒ ในฐานะกรรมการผู้จัดการผู้มีอำนาจซึ่งเป็นผู้แทนของบริษัทจำเลยที่ ๑ ก็ต้องกระทำการไปตามวัตถุประสงค์และข้อบังคับของบริษัทจำเลยที่ ๑และอยู่ในความครอบงำของที่ประชุมใหญ่แห่งผู้ถือหุ้น ตามมาตรา ๗๕และ ๑๑๔๔ สัญญาโอนขายหุ้นและกิจการเดินรถซึ่งจำเลยที่ ๒ ทำกับโจทก์นั้นอยู่นอกขอบวัตถุประสงค์ของบริษัทจำเลยที่ ๑ ตามที่กำหนดไว้ในหนังสือบริคณห์สนธิ และบรรดาผู้ถือหุ้นไม่เคยประชุมใหญ่อนุมัติให้จำเลยที่ ๒ ทำสัญญาโอนขายกิจการของบริษัทจำเลยที่ ๑ การโอนหุ้นให้แก่โจทก์ก็มิได้รับอนุมัติโดยเสียงเห็นด้วย ๓ ใน ๔ จากที่ประชุมใหญ่ตามข้อบังคับของบริษัทจำเลยที่ ๑ สัญญานี้จึงไม่ผูกพันบริษัทจำเลยที่ ๑
เมื่อสัญญาขายหุ้นทั้งหมดและกิจการเดินรถรายนี้จำเลยที่ ๒ได้ทำสัญญาในฐานะผู้แทนของบริษัทจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ ในฐานะส่วนตัว และจำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๖ หาได้เป็นคู่สัญญากับโจทก์ด้วยไม่จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ จึงไม่ถูกผูกพันที่จะโอนหุ้นทั้งหมดและส่งมอบกิจการเดินรถให้แก่โจทก์
ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ข้อตกลงเกี่ยวกับการโอนหุ้นนี้เป็นโมฆะตามมาตรา ๑๑๒๙ นั้น เห็นว่า ตามสัญญามีใจความเพียงว่า บริษัทจำเลยที่ ๑ตกลงโอนขายหุ้นทั้งหมดให้แก่โจทก์ภายใน ๑๕ วันเท่านั้น การทำสัญญาฉบับนี้ยังมิใช่เป็นการดำเนินการโอนหุ้น จึงนำมาตรา ๑๑๒๙ มาบังคับหาได้ไม่
ที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายและเรียกเงินคืนจากจำเลยนั้น โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยประพฤติผิดสัญญาที่ตกลงไว้ว่าจะขายหุ้นทั้งหมดกับกิจการเดินรถให้โจทก์ แต่เมื่อสัญญาดังกล่าวไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ถึงที่ ๖ แล้ว จำเลยเหล่านี้ก็ไม่ต้องรับผิดเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่การที่ฝ่ายจำเลยมิได้ปฏิบัติตามสัญญานั้น กับการคืนเงินด้วย
เฉพาะจำเลยที่ ๒ นั้น แม้จะปรากฏว่าได้ทำสัญญาขายหุ้นและกิจการเดินรถให้แก่โจทก์โดยปราศจากอำนาจที่จะกระทำแทนบริษัทจำเลยที่ ๑เมื่อบริษัทจำเลยที่ ๑ มิได้ให้สัตยาบันแก่การที่จำเลยที่ ๒ เข้าทำสัญญาและตามข้อเท็จจริงก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้รู้อยู่ว่าจำเลยที่ ๒ ทำสัญญาโดยปราศจากอำนาจ จำเลยที่ ๒ จึงต้องรับผิดต่อโจทก์โดยลำพังตนเองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๒๓, ๑๑๖๗ ส่วนปัญหาที่ว่าจำเลยที่ ๒ เป็นฝ่ายผิดสัญญาหรือไม่นั้น ฟังได้ว่าจำเลยที่ ๒ เป็นฝ่ายผิดสัญญา
เมื่อถือว่าจำเลยที่ ๒ เป็นฝ่ายผิดสัญญา และจะต้องรับผิดต่อโจทก์โดยลำพังตนเองแล้ว มีปัญหาว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้โดยมุ่งหมายจะให้บังคับเอาแก่จำเลยที่ ๒ โดยลำพังด้วยหรือไม่ ปรากฏว่าตามคำบรรยายฟ้องและสำเนาหนังสือสัญญาท้ายฟ้อง โจทก์กล่าวว่าบริษัทจำเลยที่ ๑ ทำสัญญากับโจทก์ และจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ลงนามแทนบริษัทจำเลยที่ ๑ โดยแสดงให้ปรากฏในสัญญาว่า จำเลยที่ ๒ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนามแทนบริษัทและได้รับมอบอำนาจจากที่ประชุมของผู้ถือหุ้นแล้ว ต่อมาจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญา จึงขอให้บังคับจำเลยทั้งสองตามคำขอท้ายฟ้อง เช่นนี้ พอให้ถือได้แล้วว่า โจทก์ขอให้บังคับเอาแก่จำเลยที่ ๒ ด้วย ในเมื่อไม่อาจบังคับเอาแก่จำเลยที่ ๑ ได้
ในเรื่องค่าเสียหาย ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่าโจทก์รับซื้อกิจการเดินรถรายนี้ก็เพื่อจะดำเนินการเดินรถรับส่งคนโดยสาร เมื่อจำเลยไม่มอบกิจการให้โจทก์ โจทก์ย่อมไม่ได้รับผลประโยชน์อันควรจะได้ นับว่าเป็นค่าเสียหายเช่นที่ตามปกติย่อมเกิดขึ้นแต่การที่จำเลยไม่ชำระหนี้ตามสัญญา จำเลยที่ ๒ จะต้องรับผิดชดใช้ให้ แต่จำนวนค่าเสียหายในส่วนนี้โจทก์นำสืบแสดงไม่ได้แน่นอนว่าเป็นจำนวนเท่าใด ศาลได้พิเคราะห์ตามพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เห็นสมควรให้จำเลยที่ ๒ ชดใช้ให้ ๔๐,๐๐๐ บาท
ส่วนเรื่องเงินที่โจทก์เรียกร้องให้จำเลยคืนให้นั้น ฟังว่าโจทก์ได้ชำระเงินให้จำเลยที่ ๒ เป็นเงินสด ๑๕,๐๐๐ บาท และเป็นเช็ค ๕๐,๐๐๐ บาทถึงแม้ว่าใบรับเงินจะลงไว้ว่าจำเลยที่ ๒ ได้รับเงิน ๖๕,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๒ก็ยังนำสืบด้วยพยานบุคคลอธิบายว่าได้รับเป็นเงินสดบางส่วนกับเป็นเช็คบางส่วนได้ เมื่อจำเลยที่ ๒ ได้รับเงินและเช็คจากโจทก์เป็นการชำระราคาบางส่วนตามสัญญา แล้วผิดสัญญาไม่อาจโอนหุ้นและกิจการเดินรถให้โจทก์ได้ จำเลยที่ ๒ จึงต้องคืนเงิน ๑๕,๐๐๐ บาทและเช็คที่รับไว้นั้นและเงินที่ต้องใช้คืนนี้ต้องคิดดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่จำเลยผิดสัญญา เพราะจำเลยที่ ๒ ไม่มีสิทธิจะเอาเงินของโจทก์ไว้ และถือว่าผิดนัดมาตั้งแต่นั้น
พิพากษาแก้ ให้จำเลยที่ ๒ ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ๔๐,๐๐๐ บาทและให้ใช้ดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในจำนวนเงิน ๑๕,๐๐๐ บาท ที่จำเลยที่ ๒ได้รับชำระไว้นั้น นับแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๐๘ จนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้นี้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share