คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1370/2544

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ม. ไถ่ที่ดินจากจำเลยภายในกำหนดในสัญญาขายฝากแล้วแม้จะไม่ได้จดทะเบียนไถ่การขายฝาก ก็เป็นเพียงทำให้การกลับคืนมาซึ่งทรัพย์สิทธิยังไม่บริบูรณ์เท่านั้น แต่ใช้ยันกันได้ระหว่าง ม. กับจำเลย เมื่อโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของ ม. จึงมีผลยันกันได้ระหว่างโจทก์กับจำเลยด้วย โจทก์ย่อมมีสิทธิติดตามเอาคืนและฟ้องร้องขอให้จำเลยจดทะเบียนไถ่การขายฝากที่ดินแก่โจทก์เมื่อใดก็ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนายมะแอแวเด็ง บิดา โดยคำสั่งศาล เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2527ขณะมีชีวิตอยู่นายมะแอได้จดทะเบียนขายฝากที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 573, 574 และ 485แก่จำเลย ในราคา 42,420 บาท กำหนดเวลาขายฝาก 1 ปีต่อมาประมาณเดือนตุลาคม 2528 บิดาโจทก์ได้นำเงินไปไถ่การขายฝากจากจำเลย จำเลยคืนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวพร้อมสัญญาขายฝากฉบับผู้รับซื้อฝากให้โดยจำเลยจะไปจดทะเบียนไถ่การขายฝากให้ภายหลังจนกระทั่งบิดาโจทก์ถึงแก่ความตาย จำเลยก็ยังไม่ไปจดทะเบียนไถ่การขายฝากให้นับแต่บิดาโจทก์ไถ่การขายฝาก บิดาโจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาททั้งสามแปลงมาโดยตลอด ไม่มีผู้ใดโต้แย้งหรือรบกวนสิทธิ จนกระทั่งเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2539 โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกนำหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินพิพาททั้งสามแปลงไปรับมรดกเพื่อแบ่งแยกให้แก่ทายาทต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดปัตตานี แต่ไม่อาจดำเนินการได้เพราะยังมีการจดทะเบียนการขายฝากดังกล่าวซึ่งจำเลยทราบอยู่แล้ว กลับนำความเท็จไปแจ้งต่อเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อขอออกใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินพิพาททั้งสามแปลง โจทก์จึงขออายัดที่ดินพิพาททั้งสามแปลง และให้จำเลยไปจดทะเบียนไถ่การขายฝากให้แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนไถ่การขายฝากที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 485, 573และ 574 ตำบลรูสะมิแล อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานีให้แก่โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายมะแอ แวเด็ง หากจำเลยไม่ไปจดทะเบียนไถ่ให้แก่โจทก์ ให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย หากจำเลยไม่สามารถปฏิบัติได้ให้ใช้ราคาที่ดิน 5,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะที่ดินพิพาททั้งสามแปลงไม่ใช่ทรัพย์มรดกของนายมะแอบิดาโจทก์ แต่เป็นของจำเลย คดีโจทก์ขาดอายุความเพราะนับแต่วันที่ครบกำหนดการไถ่คืนถึงวันฟ้องเกิน 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/9 ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยไปจดทะเบียนไถ่การขายฝากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 485,573, 574 ตำบลรูสะมิแล อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานีให้แก่โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายมะแอ แวเด็ง (ผู้วายชนม์)หากจำเลยไม่ไปจดทะเบียน ให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และหากจำเลยไม่สามารถจดทะเบียนที่ดินพิพาทคืนให้แก่โจทก์ได้ ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงิน 5,000,000บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 6ธันวาคม 2527 นายมะแอบิดาโจทก์ได้จดทะเบียนขายฝากที่ดินพิพาททั้งสามแปลงแก่จำเลยในราคา 42,420 บาท กำหนดไถ่ภายใน 1 ปี ตามหนังสือสัญญาขายฝากและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เอกสารหมาย จ.2 ถึง จ.5 ต่อมาวันที่ 16กุมภาพันธ์ 2538 นายมะแอถึงแก่ความตาย โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนายมะแอโดยคำสั่งศาลชั้นต้น มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า นายมะแอไถ่ที่ดินพิพาททั้งสามแปลงภายในกำหนด 1 ปี ตามสัญญาขายฝากหรือไม่ ได้ความจากพยานโจทก์ว่า เมื่อเดือนตุลาคม 2528 นายมะแอนำเงิน42,420 บาท ไปไถ่ที่ดินพิพาททั้งสามแปลงจากจำเลยที่บ้านจำเลย จำเลยจึงคืนเอกสารหมาย จ.2 ถึง จ.5 ให้แก่นายมะแอแต่ไม่ได้ไปจดทะเบียนไถ่ที่ดินพิพาททั้งสามแปลง ต่อมานายมะแอถึงแก่ความตาย โจทก์ตรวจค้นพบเอกสารหมาย จ.2ถึง จ.5 จึงดำเนินการติดต่อกับผู้ที่เกี่ยวข้องจนทราบจากนายอับดุลเลาะ แวหะยี ว่านายมะแอไถ่ที่ดินพิพาททั้งสามแปลงจากจำเลยแล้ว ส่วนจำเลยนำสืบอ้างว่า นายมะแอยังมิได้ไถ่ที่ดินพิพาท เหตุที่เอกสารหมาย จ.2 ถึง จ.5 อยู่ที่นายมะแอเนื่องจากในวันจดทะเบียนการขายฝากที่ดินพิพาท จำเลยและนายมะแอต่างไปที่สำนักงานที่ดินจังหวัดปัตตานี หลังจากจำเลยได้ลงลายมือชื่อในเอกสารต่าง ๆ เพื่อจดทะเบียนการขายฝากแล้วจำเลยติดธุระ จำเลยจึงบอกนายมะแอว่าหากจดทะเบียนการขายฝากเสร็จให้นายมะแอนำเอกสารการจดทะเบียนขายฝากไปให้จำเลยที่ร้านจำเลยด้วย จำเลยยังไม่ได้รับเอกสารดังกล่าวจากนายมะแอเลย เห็นว่า โจทก์มีนายอับดุลเลาะเบิกความยืนยันประกอบเอกสารหมาย จ.2 ถึง จ.5 ว่า พยานพร้อมนายมะแอไปพบจำเลยที่ร้านจำเลย เมื่อนายมะแอมอบเงินแก่จำเลยแล้วก็ได้รับเอกสารหมาย จ.2 ถึง จ.5 คืนจากจำเลย นอกจากนี้ยังได้ความจากนายแวบากา ปอซารี อดีตผู้ใหญ่บ้านท้องที่นายมูหามะ มะตีเยาะ ผู้ใหญ่บ้านท้องที่ปัจจุบันและนางแมะโหมง สาแม เจ้าของที่ดินข้างเคียงพยานโจทก์ว่านายมะแอและครอบครัวครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมาดังนั้น การที่นายมะแอได้รับเอกสารทั้งสัญญาขายฝากฉบับผู้ขายฝากกับฉบับผู้รับซื้อฝาก และหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินพิพาทตามเอกสารหมาย จ.2 ถึง จ.5 มาไว้ในครอบครองโดยมีพยานบุคคลสนับสนุนด้วยเช่นนี้ย่อมทำให้พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักและเหตุผลมั่นคงเชื่อได้ว่า นายมะแอได้ไถ่ที่ดินพิพาทจากจำเลยภายในกำหนด 1 ปี ตามที่กำหนดไว้ในสัญญาขายฝากแล้ว แม้จะไม่มีการจดทะเบียนไถ่การขายฝากก็เป็นเพียงทำให้การกลับคืนมา ซึ่งทรัพยสิทธิในที่ดินพิพาทยังไม่บริบูรณ์เท่านั้น แต่มีผลใช้บังคับยันกันได้ระหว่างนายมะแอกับจำเลย ส่วนที่จำเลยอ้างว่าเอกสารดังกล่าวทั้งหมดอยู่ที่นายมะแอตั้งแต่วันที่จดทะเบียนการขายฝากนั้นไม่น่าเชื่อถือ เนื่องจากปกติธรรมดาเมื่อมีการจดทะเบียนการขายฝากหนังสือสัญญาขายฝากฉบับผู้รับซื้อฝากและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทางเจ้าพนักงานที่ดินจะมอบให้ผู้รับซื้อฝากเก็บรักษาไว้ส่วนผู้ขายฝากจะเก็บรักษาไว้เพียงสัญญาขายฝากฉบับผู้ขายฝากเท่านั้น จำเลยซึ่งเคยรับซื้อฝากที่ดินมาหลายครั้งแล้วย่อมทราบและเข้าใจเรื่องนี้ดี จำเลยจะมาอ้างลอย ๆ ว่าในวันที่จดทะเบียนการขายฝากจำเลยติดธุระอื่นไม่อาจรอรับเอกสารดังกล่าวย่อมไม่มีน้ำหนักและเหตุผลเพียงพอ อีกทั้งหลังจากจดทะเบียนการขายฝากแล้วก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยไปติดตามหาเอกสารดังกล่าวจากนายมะแออีกเลยจนกระทั่งต้นปี 2538 เจ้าพนักงานที่ดินแจ้งให้จำเลยไปรับรองแนวเขตให้เจ้าของที่ดินข้างเคียง จำเลยจะไปรับรองแนวเขต แต่จำเลยหาเอกสารดังกล่าวไม่พบจึงไปสอบถามนายมะแอ นายมะแออ้างว่าไม่ทราบ การที่จำเลยปล่อยให้เวลาล่วงเลยมานานประมาณ 10 ปี โดยไม่สนใจที่จะติดตามหาเอกสารดังกล่าวอันเป็นเอกสารสำคัญเช่นนี้ย่อมเป็นการผิดปกติของจำเลยซึ่งเคยรับซื้อฝากที่ดินมาก่อนประกอบกับเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2539 จำเลยเพิ่งยื่นคำขอออกใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินพิพาทตามเอกสารหมาย จ.8 ถึง จ.10 ระบุว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ฉบับเจ้าของซึ่งจำเลยเก็บไว้สูญหายไปโดยไม่ทราบสาเหตุจึงขัดแย้งกับข้ออ้างของจำเลยในชั้นพิจารณายิ่งทำให้พยานจำเลยมีพิรุธน่าสงสัยไม่อาจรับฟังตามที่จำเลยอ้างได้

มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อสุดท้ายว่าโจทก์มิได้ฟ้องคดีภายในกำหนด 10 ปี นับแต่วันที่ครบกำหนดการไถ่ที่ดินพิพาททั้งสามแปลง คดีโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 แล้วหรือไม่เห็นว่า เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงดังวินิจฉัยมาแล้วว่า นายมะแอได้ไถ่ที่ดินพิพาทภายในกำหนด 1 ปี ตามที่กำหนดในสัญญาขายฝากแล้ว แม้ยังมิได้มีการจดทะเบียนไถ่ ที่ดินพิพาททั้งสามแปลงก็ตกเป็นของนายมะแอทันที ซึ่งมีผลบังคับยันกันได้ระหว่างนายมะแอกับจำเลย เมื่อโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนายมะแอจึงมีผลบังคับยันกันได้ระหว่างโจทก์กับจำเลยด้วย โจทก์ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของนายมะแอเจ้าของที่ดินพิพาททั้งสามแปลงย่อมมีสิทธิติดตามเอาคืนและฟ้องร้องขอให้จำเลยจดทะเบียนไถ่การขายฝากที่ดินพิพาททั้งสามแปลงแก่โจทก์ในระยะเวลาใดก็ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share