แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ข้อหามีกล้องสูบฝิ่นจะต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193ทวิแต่จำเลยอุทธรณ์รวมมากับข้อหาที่ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีอำนาจวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 185 และเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกาได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวก (ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษไปแล้ว) ร่วมกันมีฝิ่นคลุกเยื่อไม้ 1 ก้อน หนัก 10 กรัม กล้องสูบฝิ่น 1 กล้อง ไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติฝิ่น พ.ศ. 2472มาตรา 8, 34, 53, 63 ฯลฯ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติฝิ่น พ.ศ. 2472 ฯลฯ ลงโทษฐานมีฝิ่นจำคุก 6 เดือน ฐานมีกล้องสูบฝิ่นปรับ 200 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยร่วมกับพวกมีกล้องสูบฝิ่นไว้ในความครอบครอง และพยานโจทก์สำหรับข้อหามีฝิ่นยังเป็นที่น่าสงสัย ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สำหรับข้อหามีกล้องสูบฝิ่นนั้น ปรากฏว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษปรับจำเลยเป็นเงิน 200 บาท ซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ แก้ไขเพิ่มเติมโดย มาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2523 แต่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้และพิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหานี้ ซึ่งศาลอุทธรณ์มีอำนาจวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 จึงเห็นสมควรรับวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ในข้อหานี้ ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงแล้ว
พิพากษายืน