คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1722/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จ้างจำเลยให้ทำการก่อสร้างให้โจทก์ โดยมีข้อสัญญาว่าหากเกิดความเสียหายใด ๆ ขึ้น เนื่องจากจำเลยผิดสัญญา โจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายได้ตามกฎหมาย ในการปฏิบัติตามสัญญา จำเลยได้วางหนังสือค้ำประกันของธนาคารไว้แทนการวางมัดจำเป็นเงินจำนวนหนึ่ง หนังสือค้ำประกันนี้เป็นเพียงสัญญาซึ่งธนาคารผู้ค้ำประกันผูกพันตนต่อโจทก์เพื่อชำระหนี้ในเมื่อจำเลยผิดสัญญาและไม่ชำระหนี้เท่านั้น ธนาคารมิได้วางเงินตามสัญญาค้ำประกันไว้แก่โจทก์ขณะเมื่อจำเลยเข้าทำสัญญากับโจทก์ หนังสือค้ำประกันจึงมิใช่เป็นมัดจำตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 377แม้ธนาคารจะได้ชำระเงินตามหนังสือค้ำประกันให้โจทก์ในเมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญากับจำเลย ก็ไม่ทำให้เงินที่ชำระนั้นกลายเป็นมัดจำไป เมื่อหนังสือค้ำประกันไม่ใช่มัดจำ และตามสัญญาก็มิได้ระบุให้ริบเงินที่ชำระตามหนังสือค้ำประกัน โจทก์จึงริบเงินจำนวนนี้ไม่ได้
จำเลยทำสัญญารับทำการก่อสร้างโดยระบุไว้ในสัญญาว่าส. เป็นคู่สัญญากับจำเลยโดยคำสั่งกองทัพบก ย่อมถือได้ว่า ส.ลงลายมือชื่อเป็นคู่สัญญาในฐานะผู้รับมอบอำนาจจากกองทัพบกจำเลยจะอ้างว่า ส. เป็นคู่สัญญากับจำเลยไม่ใช่กองทัพบกกองทัพบกไม่มีอำนาจฟ้อง ดังนี้ หาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำสัญญารับเหมาก่อสร้างโรงทหารที่กรมแพทย์ทหารบก บริเวณโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าไว้กับโจทก์ซึ่งโจทก์ได้มอบให้พลตรีเสถียร พจนานนท์ เจ้ากรมยุทธโยธาทหารบกทำการแทนโจทก์ จำเลยรับจะทำงานให้เสร็จและส่งมอบในวันที่ ๒๖พฤษภาคม ๒๕๐๔ ถ้าไม่เสร็จ ยอมชำระค่าปรับเป็นรายวัน ในการปฏิบัติตามสัญญา จำเลยได้วางหนังสือค้ำประกันของธนาคารทหารไทยจำกัดไว้แทนการวางเงินมัดจำ เป็นเงิน ๓๖,๕๐๐ บาท จำเลยทำการก่อสร้างไม่แล้วเสร็จตามสัญญา พลตรีเสถียรจึงบอกเลิกสัญญากับจำเลย ขอให้ศาลพิพากษาบังคับให้จำเลยชดใช้ค่าปรับและค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่า กรมยุทธโยธาทหารบก โดยพลตรีเสถียร พจนานนท์เจ้ากรมเป็นคู่สัญญากับจำเลย ไม่ใช่กองทัพบก กองทัพบกไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยไม่ได้ปฏิบัติผิดสัญญาโจทก์ไม่มีสิทธิริบเงินประกันและทรัพย์สินของจำเลย และโจทก์จะปรับจำเลยไม่ได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา ให้จำเลยใช้ค่าปรับให้โจทก์ ๑๒๔,๐๘๓ บาท กับค่าเสียหาย ๙๕,๙๓๐ บาท รวมเป็นเงิน๒๒๐,๐๑๓ บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา แต่เห็นสมควรลดค่าปรับลงเหลือ ๒๖,๗๘๑ บาท แล้ววินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยวางหนังสือค้ำประกันของธนาคารทหารไทย จำกัดไว้แทนเงินมัดจำนวน ๓๖,๕๐๐ บาท จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่มีสิทธิจะริบ เพราะตามสัญญาไม่ได้ระบุให้ริบ ปัญหามีว่าหนังสือค้ำประกันเป็นมัดจำหรือไม่ เห็นว่า หนังสือค้ำประกันเป็นเพียงสัญญาซึ่งธนาคารทหารไทยจำกัดผู้ค้ำประกัน ผูกพันตนต่อโจทก์เพื่อชำระหนี้ในเมื่อจำเลยผิดสัญญาและไม่ชำระหนี้เท่านั้น ธนาคารทหารไทยจำกัดมิได้วางเงินตามสัญญาค้ำประกันให้ไว้ต่อโจทก์ขณะเมื่อจำเลยเข้าทำสัญญากับโจทก์ หนังสือค้ำประกันจึงมิใช่เป็นมัดจำตามความหมายดังบัญญัติไว้ในมาตรา ๓๗๗ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ส่วนการที่ธนาคารทหารไทยจำกัดชำระเงินตามหนังสือค้ำประกันให้โจทก์ในภายหลัง ในเมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญากับจำเลยแล้วนั้น ถือได้เพียงว่าธนาคารทหารไทยจำกัดได้ปฏิบัติตามข้อผูกพันตามหนังสือค้ำประกันหาทำให้เงินที่ชำระกลายเป็นมัดจำไปไม่ ฉะนั้น เมื่อหนังสือค้ำประกันไม่ใช่มัดจำ และตามสัญญามิได้มีข้อความระบุให้ริบเงินที่ชำระตามหนังสือค้ำประกัน โจทก์จึงจะริบเงินจำนวนนี้ไม่ได้ ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะไม่ใช่คู่สัญญากับจำเลยนั้น ตามสัญญาระบุว่าพลตรีเสถียร พจนานนท์ เป็นคู่สัญญากับจำเลย โดยคำสั่งกองทัพบกจึงถือได้ว่าพลตรีเสถียร พจนานนท์ ได้ลงชื่อเป็นคู่สัญญาในฐานะเป็นผู้รับมอบอำนาจจากกองทัพบก กองทัพบกจึงมีอำนาจเป็นโจทก์ฟ้อง
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เป็นว่า เฉพาะค่าปรับให้จำเลยชดใช้ให้โจทก์เป็นเงิน ๒๖,๗๘๑ บาท และโจทก์ไม่มีสิทธิริบเงินตามสัญญาค้ำประกัน นอกจากที่แก้นี้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share