แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ถือหุ้นชนิดใดในบริษัทจำกัดย่อมถือว่าเป็นผู้ลงทุนในบริษัทเท่าจำนวนหุ้นที่ถือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1096. ฉะนั้นเมื่อรัฐถือหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิรวมกันเกินกว่าร้อยละห้าสิบของจำนวนหุ้นทั้งหมดของธนาคารเกษตร จำกัด แล้ว. ก็ถือว่าธนาคารเกษตร จำกัด มีทุนเกินกว่าร้อยละห้าสิบเป็นของรัฐ. โดย.ไม่ต้องคำนึงว่าหุ้นเหล่านั้นเป็นหุ้นที่ใช้ค่าหุ้นเป็นตัวเงินหรือเป็นหุ้นที่ออกให้เสมือนหนึ่งได้ใช้เต็มค่าแล้ว. ฉะนั้นเมื่อจำเลยซึ่งเป็นพนักงานธนาคารเกษตร จำกัด ยักยอกเงินของธนาคาร จึงต้องมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐพ.ศ.2502. (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 23/2512).
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นพนักงานรักษาเงินของธนาคารเกษตรจำกัด สาขายะลา ซึ่งจดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัด และก่อตั้งด้วยทุนเกินกว่าร้อยละห้าสิบเป็นของรัฐ มีหน้าที่รักษาเงินรับจ่ายแก่ผู้นำฝากและขอถอนไปรวมตลอดทั้งลงบัญชีรับจ่ายและลงนามในเอกสารหรือตราสารอันเกี่ยวกับกิจการธนาคารดังกล่าว ได้รับเงินที่ลูกค้าบัญชีเงินฝากทั้งประเภทกระแสรายวันและสะสมทรัพย์นำมาฝากไว้รวมทั้งที่เก็บรักษาไว้จำนวน 398,660 บาท ลงบัญชีจ่ายเงินของนายแวยูโซ๊ะ แวสะตาปอ ลูกค้าบัญชีเงินฝากประเภทสะสมทรัพย์ว่าถอนเงินไป 20,000 บาท ซึ่งความจริงนายแวยูโซ๊ะไม่ได้มาถอนเงินจำนวนดังกล่าวไป และลงบัญชีจ่ายเงินซึ่งนายแวยูโซ๊ะได้ขอถอนไป 1,330.67 บาท เป็นว่าถอนไป 11,330.67 บาทและได้รับเงินค่าหุ้นไฟฟ้าเบตงของธนาคารเกษตร จำกัด สาขายะลา ไว้4,000 บาท แต่ไม่นำลงบัญชีเงินสดของธนาคาร แล้วจำเลยได้บังอาจเบียดบังเงินตามรายการทั้งหมดดังกล่าวรวม 432,660 บาทไว้เป็นของตนโดยทุจริต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352,353 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 3, 4 และให้จำเลยคืนหรือใช้เงินจำนวนดังกล่าวแก่ธนาคารด้วย จำเลยให้การต่อสู้ว่า ธนาคารเกษตรเป็นบริษัทเอกชนมิใช่รัฐวิสาหกิจ จำเลยไม่ใช่พนักงานของหน่วยงานของรัฐ ธนาคารมิใช่ผู้เสียหาย ฟ้องเคลือบคลุม และขาดอายุความร้องทุกข์โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 4 ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 4 ซึ่งเป็นบทหนักเพียงบทเดียวและกระทงเดียว ให้จำคุกจำเลยไว้มีกำหนด 12 ปี กับให้ใช้เงิน 432,660 บาท แก่ธนาคารเกษตร สาขายะลา ด้วย จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ฟังว่า จำเลยยักยอกเงินของธนาคารเกษตร จำกัด จริงแต่ปัญหาว่าธนาคารเกษตรมีทุนเกินกว่าร้อยละห้าสิบเป็นของรัฐหรือไม่นั้น เห็นว่าธนาคารเกษตรมีหุ้นสามัญชำระเงินครบแล้ว 16,418 หุ้นโดยกระทรวงเกษตรถือหุ้นอยู่ 1,000 หุ้น กระทรวงการคลัง 6,118 หุ้นสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ถืออยู่ 5,000 หุ้น นอกนั้นเป็นหุ้นบุริมสิทธิรวม 35,000 หุ้น ซึ่งกระทรวงเกษตรถืออยู่ 34,853 หุ้นหุ้นบุริมสิทธิ์เป็นหุ้นที่มิได้ลงเป็นเงิน แต่เป็นหุ้นที่ได้ออกให้เสมือนหนึ่งว่าได้ใช้เต็มค่าแล้ว จึงไม่นับเป็นหุ้นของรัฐ ซึ่งจะต้องเป็นทุนที่ลงด้วยเงินคือหุ้นสามัญเท่านั้น ส่วนหุ้นที่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ถืออยู่ไม่นับว่าเป็นหุ้นของรัฐเมื่อนับหุ้นสามัญที่รัฐถืออยู่แล้วซึ่งไม่เกินร้อยละห้าสิบจำเลยจึงไม่ผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 พิพากษาแก้ว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 ให้จำคุกไว้ 3 ปีนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกาโต้แย้งว่า ทุนของรัฐตามความหมายแห่งบทบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502หมายรวมทั้งหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิทั้ง 2 ประเภทและรวมทั้งหุ้นสามัญ 5,000 หุ้นที่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ถืออยู่ด้วย ศาลฎีกาวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่เฉพาะปัญหาว่าการที่รัฐถือหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิรวมกันเกินกว่าร้อยละห้าสิบของหุ้นทั้งหมดจะถือได้หรือไม่ว่าหุ้นเกินกว่าร้อยละห้าสิบเป็นของรัฐตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1096 บริษัทจำกัดย่อมตั้งขึ้นด้วยแบ่งทุนเป็นหุ้นมีมูลค่าเท่า ๆ กัน โดยไม่แยกว่าเป็นหุ้นใช้เป็นตัวเงินหรือใช้ด้วยอย่างอื่นนอกจากตัวเงิน ฉะนั้นผู้ถือหุ้นชนิดใดย่อมได้ชื่อว่าได้ลงทุนในบริษัทเท่าจำนวนหุ้นที่เคยถือ เมื่อรัฐถือหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิรวมกันเกินกว่าร้อยละห้าสิบของจำนวนหุ้นทั้งหมดของธนาคารเกษตร จำกัด ก็ถือว่าทุนของธนาคารเกษตร จำกัด เกินกว่าร้อยละห้าสิบเป็นของรัฐ โดยไม่ต้องคำนึงว่าหุ้นเหล่านั้นเป็นหุ้นที่ใช้ค่าหุ้นเป็นตัวเงิน หรือเป็นหุ้นที่ออกให้เสมือนหนึ่งได้ใช้เต็มค่าแล้ว จำเลยจึงได้ชื่อว่าเป็นพนักงานตามมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 ส่วนปัญหาว่าหุ้นจำนวน5,000 หุ้น ของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นทุนของรัฐหรือไม่นั้น ไม่จำต้องวินิจฉัย พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีตามศาลชั้นต้น.