คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1717/2527

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในวันเกิดเหตุโจทก์และจำเลยที่ 1 ต่างขับรถมาจอดติดการจราจรอยู่ด้วยกัน โดยรถจำเลยที่ 1 จอดอยู่ข้างหน้ารถโจทก์ ปรากฏว่ามีเสียงแตรดังมาทางด้านหลัง จำเลยที่ 1 เข้าใจว่าโจทก์เป็นคนบีบแตรไล่ เมื่อการจราจรบางลงจำเลยที่ 1 และโจทก์ได้ขับรถต่อไปและไปติดสัญญาณไฟแดงด้วยกัน จำเลยที่ 1 ได้ลงจากรถมาถามโจทก์ว่าบีบแตรไล่ทำไม โจทก์ตอบว่าไม่ได้บีบ เกิดโต้เถียงกัน โจทก์ได้พูดขึ้นว่า จะเป็นทหารเกเรหรืออย่างไร จำเลยโกรธจึงจับแขนโจทก์ซึ่งวางพาดประตูรถพร้อมกับพูดว่าลงมาลงมา ขอตะบันหน้าหน่อย โจทก์สะบัดแขนหลุดและไม่ยอมลงจากรถเช่นนี้ การที่จำเลยที่ 1 จับแขนโจทก์ชักชวนให้โจทก์ลงมาจากรถก็เพื่อให้โจทก์ลงมาวิวาทกับจำเลยเท่านั้น การกระทำของจำเลยมิใช่การข่มขืนใจให้กระทำหรือไม่กระทำการดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 จึงไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้
ต่อมาหลังจากที่โจทก์และจำเลยที่ 1 เกิดโต้เถียงกันดังกล่าวแล้วในระหว่างที่โจทก์ขับรถไปตามถนน จำเลย ที่ 1 ได้ขับรถไล่ตามกลั่นแกล้งโจทก์ โดยขับรถปาดหน้ารถโจทก์ ทำให้โจทก์ต้องหยุดรถอย่างกระทันหัน ดังนี้ แม้ขณะโจทก์ขับรถอยู่โจทก์ย่อมมีสิทธิเสรีภาพในการขับรถไปตามถนนสาธารณะตามสิทธิที่กฎหมายรับรองได้กรณีจำเลยที่ 1 ขับรถเข้ามาปาดหน้ารถโจทก์และปิดกั้นรถโจทก์ไม่ ให้โจทก์ขับรถไปโดยสะดวก เมื่อจำเลยปาดหน้ารถโจทก์ โจทก์กลัวว่ารถโจทก์จะชนรถของจำเลยโจทก์ก็ต้องหยุดรถ การที่จำเลยขับรถปาดหน้ารถโจทก์ให้โจทก์หยุดรถขับรถไปไม่ได้ การกระทำของจำเลยดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่าจำเลยหน่วงเหนี่ยว กักขังกระทำให้โจทก์ปราศจากเสรีภาพในร่างกายตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 310 จึงไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้(ผิดมาตรา 309)
รถยนต์คันที่จำเลยที่ 1 ขับปาดหน้ารถโจทก์ มิใช่ทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดโดยตรง จึงริบไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นนายทหารประจำกองนักเรียนโรงเรียนนายเรืออากาศกับจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นพลเรือน ได้ร่วมกันกระทำผิดกฎหมายหลายบทและหลายกรรมต่างกันคือ
ก. จำเลยทั้งสองนั่งมาในรถยนต์หมายเลขทะเบียน กท.อ-๘๑๖๖ โดยจำเลยที่ ๑ เป็นคนขับ จำเลยทั้งสองโกรธเคืองโจทก์ เมื่อรถยนต์คันที่จำเลยที่ ๑ขับและรถยนต์ที่โจทก์ขับหยุดรอสัญญาณจราจร จำเลยทั้งสองซึ่งมีปืนเป็นอาวุธได้บังอาจร่วมกันกระทำความผิด โดยจำเลยที่ ๒ ยุยงส่งเสริมให้จำเลยที่ ๑ ข่มขู่บังคับขืนใจให้โจทก์ลงจากรถยนต์ที่โจทก์ขับ เพื่อจะทำร้ายโจทก์ โจทก์ไม่ยอมลงจากรถ จำเลยที่ ๑ ได้บังอาจใช้กำลังประทุษร้ายจับแขนโจทก์ดึงกระชากเพื่อให้โจทก์ลงจากรถ โจทก์ขัดขืนจำเลยที่ ๑ ใช้หมัดชกโจทก์ ๑ ครั้ง ตามที่จำเลยที่ ๒ ยุยงส่งเสริมให้กระทำ จำเลยที่ ๑ ได้กระทำการชกโจทก์ไปตลอดแล้วแต่ไม่บรรลุผลเพราะโจทก์เอนตัวหลบหลีกได้ทัน จำเลยจึงชกโจทก์ไม่ถูก
ข. เมื่อจำเลยที่ ๑ ขับรถยนต์ไปแล้ว จำเลยทั้งสองได้บังอาจใช้รถยนต์หมายเลขทะเบียน กท.อ-๘๑๖๖ เป็นพาหนะเครื่องใช้ในการกระทำความผิดและมีปืนเป็นอาวุธ โดยนำรถยนต์ไปจอดรอประทุษร้ายโจทก์ แล้วจำเลยที่ ๑ ออกไปดักซุ่มรอทำร้ายโจทก์ที่ถนน ส่วนจำเลยที่ ๒ คอยดูว่าโจทก์จะขับรถผ่านไปหรือไม่ เมื่อโจทก์ขับรถยนต์ผ่านไป จำเลยที่ ๒ ได้ให้สัญญาณเรียกจำเลยที่ ๑ กลับขึ้นรถไล่ติดตามบีบบังคับขืนใจโจทก์ด้วยการร่วมกันพูดขู่บังคับให้โจทก์ลงจากรถและจำเลยที่ ๒ ยุยงส่งเสริมสนับสนุนให้จำเลยที่ ๑ ขับรถยนต์เข้าเฉียดเบียดสกัดปาดหน้า หยุดรถปิดขวางกั้นถนนสาธารณะในเส้นทางและทิศทางที่โจทก์ต้องขับรถผ่านไปหลายครั้งหลายหน โดยจำเลยทั้งสองเจตนาใช้กำลังกาย อาวุธปืนยิงและใช้รถยนต์ขับชนประทุษร้ายต่อชีวิตร่างกายโจทก์และเพื่อหน่วงเหนี่ยวข่มขืนใจ บีบบังคับให้โจทก์ไม่สามารถขับรถไปในถนนสาธารณะได้ปลอดภัยตามสิทธิของโจทก์ ทั้งนี้ โดยจำเลยทั้งสองมีเจตนาจะให้รถยนต์ที่โจทก์ขับมานั้นคว่ำหรือชนกับสิ่งกีดขวางต่าง ๆ ตลอดจนชนรถยนต์และผู้คนที่สัญจรไปมาในถนนเป็นอันตรายแก่ชีวิตร่างกายของโจทก์ บุตรและภริยาโจทก์ซึ่งนั่งมาในรถโจทก์ และจำเลยต้องการให้เกิดอันตรายต่อเสรีภาพและทรัพย์สินของโจทก์อีกด้วย โจทก์กลัวจะเกิดอันตรายดังกล่าวจึงจำยอมต้องขับรถหลบหลีกปีนสิ่งกีดขวาง ตกหลุม ตกบ่อ และต้องหลบหนีรถยนต์ผู้คนที่สัญจรไปมา เพื่อให้พ้นจากภยันตรายที่จำเลยทั้งสองกระทำต่อโจทก์ เมื่อโจทก์ขับรถหลบหลีกหนี จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันใช้รถยนต์หมายเลขทะเบียน กท.อ-๘๑๖๖ เป็นพาหนะในการกระทำความผิด ไล่ติดตามมาทันรถโจทก์ แล้วจำเลยที่ ๒ ช่วยถือพวงมาลัยบังคับรถร่วมกับจำเลยที่ ๑ เพื่อให้รถยนต์วิ่งตรงทิศทางที่ไล่ติดตามโจทก์ดูเป้าหมายให้สัญญาณและสั่งให้จำเลยที่ ๑ ใช้ปืนยิงมายังโจทก์ ๑ นัดโดยเจตนาฆ่าโจทก์ด้วยความโกรธแค้นอาฆาตและไตร่ตรองไว้ก่อน จำเลยได้กระทำไปตลอดแล้ว แต่การกระทำไม่บรรลุผล เพราะโจทก์ได้เร่งเครื่องขับรถยนต์หลบหลีกเสียทัน กระสุนปืนที่จำเลยยิงจึงไม่ถูกโจทก์แต่พลาดไปถูกไฟท้ายรถยนต์ด้านซ้ายของโจทก์เสียหายเป็นราคา ๑๕๐ บาท ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๙๑, ๓๙๒, ๓๐๙, ๓๑๐, ๒๘๘, ๒๘๙, ๘๐, ๓๕๘,๘๓, ๘๔ ริบรถยนต์หมายเลขทะเบียน กท.อ-๘๑๖๖ ที่จำเลยร่วมกันใช้เป็นพาหนะและเครื่องใช้ในการกระทำผิดและริบปืนรีวอลเวอร์ ขนาด .๓๘ หมายเลขทะเบียนกท.๙๒๔๔๓๒ ที่จำเลยทั้งสองใช้กระทำผิดอีกด้วย
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งให้ประทับฟ้อง สำหรับจำเลยที่ ๑เฉพาะข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๐๙ และ ๓๙๒ ข้อหาอื่นให้ยกส่วนคดีสำหรับจำเลยที่ ๒ เห็นว่าไม่มีมูล ให้ยกฟ้องทุกข้อหา
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้ประทับฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๑๐, ๒๘๘, ๘๐, ๓๕๘, ๘๓, ๘๔ ด้วยนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิพากษายืน
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาลงโทษจำเลยที่ ๑ ในความผิดตามมาตรา ๓๐๙ รวม ๔ กระทง โดยให้ปรับกระทงละ ๑,๐๐๐ บาท ในความผิดตามมาตรา ๓๕๘ ให้ปรับ ๑,๐๐๐ บาท และในความผิดตามมาตรา ๓๙๒ รวม ๒ กระทงให้ปรับกระทงละ ๑๐๐ บาท รวมปรับจำเลยที่ ๑ ทั้งสิ้น ๕,๒๐๐ บาท ข้อหาอื่นให้ยก หากจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐ส่วนคดีสำหรับจำเลยที่ ๒ ฟังไม่ได้ว่าเป็นผู้ยุยงส่งเสริมให้จำเลยที่ ๑ กระทำผิด หรือร่วมกับจำเลยที่ ๑ กระทำความผิดแต่อย่างใด ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒ทุกข้อหา
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๘ นั้น ศาลชั้นต้นวางโทษจำเลยยังไม่เหมาะสมแก่รูปคดีให้ลงโทษจำคุกจำเลยอีกสถานหนึ่ง โดยให้จำคุกจำเลยที่ ๑,๖ เดือนโทษจำคุกให้รอไว้มีกำหนด ๓ ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ และให้ริบอาวุธปืนรีวอลเวอร์ ขนาด .๓๘ หมายเลขทะเบียน กท.๙๒๔๔๓๒ ซึ่งอยู่ที่จำเลยที่ ๑นั้นด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ว่า ในวันเกิดเหตุเวลาประมาณ ๑๘.๓๐ นาฬิกา โจทก์ขับรถยนต์ส่วนบุคคลหมายเลขทะเบียนกท.ช-๗๕๖๘ เพื่อจะกลับบ้านโดยมีภริยาและบุตรนั่งมาด้วยในตอนหน้าคู่กับโจทก์ โจทก์ขับรถมาถึงหัวถนนกรุงเกษม ปรากฏว่าการจราจรติดขัดรถติด โจทก์ไม่อาจขับต่อไปได้ ขณะนั้นมีรถยนต์ส่วนบุคคลหมายเลขทะเบียน กท.อ-๘๑๖๖ จอดอยู่ข้างหน้ารถโจทก์มี จำเลยที่ ๑ เป็นผู้ขับและมีจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นภริยานั่งมาด้วยตอนหน้าคู่กับจำเลยที่ ๑ ขณะที่จอดอยู่ปรากฏว่ามีเสียงบีบแตรดังมาทางด้านหลังจำเลยที่ ๑ เข้าใจว่าโจทก์เป็นคนบีบแตรไล่ ครั้นเมื่อการจราจรบนถนนพระราม ๔บางลง จำเลยที่ ๑ และโจทก์ได้ขับรถต่อไปและไปติดสัญญาณไฟแดงที่หน้าสถานีรถไฟหัวลำโพงแต่รถทั้งสองคันจอดคนละช่องทางเดินรถ จำเลยที่ ๑อยู่ทางซ้าย ส่วนโจทก์อยู่ทางขวา เพื่อจะเลี้ยวขวาเข้าถนนมหาพฤฒาราม ขณะที่โจทก์และจำเลยที่ ๑ รอสัญญาณไฟอยู่นั้น จำเลยที่ ๑ ได้ลงจากรถยนต์มาถามโจทก์ว่า บีบแตรไล่ทำไม โจทก์ว่าไม่ได้บีบ แล้วทั้งสองฝ่ายเกิดโต้เถียงกัน แล้วโจทก์พูดกับจำเลยที่ ๑ ว่า “จะเป็นทหารเกเรหรือ” จำเลยที่ ๑ โกรธจึงจับแขนโจทก์ซึ่งขณะนั้นพาดอยู่บนขอบประตูรถพร้อมกับพูดว่า “ลงมา ลงมา ขอตะบันหน้าหน่อย”โจทก์สะบัดแขนหลุดจากจำเลยแล้วจำเลยที่ ๑ จึงชกโจทก์ ๑ ที แต่ไม่ถูกเนื่องจากโจทก์หลบเสียทัน พอดีสัญญาณจราจรให้รถผ่านได้ จำเลยที่ ๑ จึงกลับไปขึ้นรถแล้วขับรถไปตามถนนมหาพฤฒารามทางเดียวกับโจทก์ แล้วจำเลยที่ ๑ ไปหยุดรอระหว่างทางใกล้ ๆ หัวถนนมหาพฤฒาราม ในระหว่างที่โจทก์ขับรถไปตามถนนมหาพฤฒาราม ถนนสี่พระยา ถนนนเรศ ถนนสุรวงศ์ จำเลยที่ ๑ ได้ขับรถไล่ตามกลั่นแกล้งโจทก์รวม ๔ ครั้ง หลังจากนั้นขณะที่โจทก์ขับรถไปตามถนนสุรวงศ์ จำเลยที่ ๑ ได้ขับรถไล่ตามรถโจทก์อีกและใช้ปืนพกยิงมายังรถโจทก์ ๑ นัดกระสุนถูกไฟท้ายรถข้างซ้ายแตก
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฎีกาว่า การที่จำเลยที่ ๑ ขับรถเบียดสกัดปาดหน้ารถโจทก์ ขับรถหยุดรถจอดขวางกั้นไม่ให้โจทก์ขับรถไปตามที่โจทก์ประสงค์ การกระทำของจำเลยย่อมถือว่าเป็นการหน่วงเหนี่ยวให้โจทก์ปราศจากเสรีภาพในร่างกายตามมาตรา ๓๑๐ ด้วย เห็นว่า จริงอยู่ขณะนั้นโจทก์ขับรถอยู่ โจทก์ย่อมมีสิทธิเสรีภาพในการขับรถไปตามถนนสาธารณะตามสิทธิที่กฎหมายรับรองได้ การที่จำเลยที่ ๑ ขับรถเข้ามาปาดหน้ารถโจทก์และปิดกั้นรถโจทก์ไม่ให้โจทก์ขับรถไปโดยสะดวก เมื่อจำเลยปาดหน้ารถโจทก์ โจทก์กลัวว่ารถโจทก์จะชนรถของจำเลยโจทก์ก็ต้องหยุดรถ การที่จำเลยขับรถปาดหน้ารถโจทก์ให้โจทก์หยุดรถขับรถไปไม่ได้ การกระทำของจำเลยดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่า จำเลยหน่วงเหนี่ยว กักขังกระทำให้โจทก์ปราศจากเสรีภาพในร่างกายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๑๐ ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
โจทก์ฎีกาว่า ตอนที่รถโจทก์ติดสัญญาณไฟที่หน้าสถานีรถไฟหัวลำโพงจำเลยที่ ๑ ได้จับแขนโจทก์และพูดท้าทายชวนวิวาทเพื่อให้โจทก์ลงมาจากรถ การกระทำของจำเลยที่ ๑ ย่อมเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๐๙ ที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยที่ ๑ ไม่มีความผิดตามมาตรา ๓๐๙ นั้นจึงไม่ชอบ เห็นว่าการที่จำเลยที่ ๑ จับแขนโจทก์ชักชวนให้โจทก์ลงมาจากรถก็เพื่อให้โจทก์ลงมาวิวาทกับจำเลยเท่านั้น การกระทำของจำเลยมิใช่เป็นการข่มขืนใจให้กระทำหรือไม่กระทำการดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๐๙ดังที่โจทก์อ้างอย่างใด ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน
โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ ๑ ใช้รถยนต์หมายเลขทะเบียน กท.อ-๘๑๖๖ กระทำผิดโดยปาดหน้ารถโจทก์จึงเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำผิด จึงต้องริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓ ศาลอุทธรณ์ไม่ริบจึงแปลและปรับบทกฎหมายคลาดเคลื่อน ขอให้พิพากษาริบรถยนต์ด้วย ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า รถยนต์คันที่จำเลยที่ ๑ ขับปาดหน้ารถโจทก์นั้น มิใช่ทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดโดยตรงจึงริบไม่ได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share