แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีที่โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้จำนวนหนึ่งแสนบาทคืนจากจำเลยและจำเลยให้การว่าได้นำที่ดินตามฟ้องทำจำนองไว้กับโจทก์เพื่อเป็นประกันเงินกู้หนึ่งแสนบาทจริง แต่ได้กู้ยืมและรับเงินกันเพียง 80,000 บาท อีก 20,000 บาทเป็นดอกเบี้ยที่โจทก์คิดรวมเข้าไว้ด้วยนั้น จำเลยมีสิทธินำสืบพยานบุคคลได้ว่าจำเลยได้กู้ยืมเงินและรับเงินไปจากโจทก์เพียง 80,000 บาท แต่โจทก์คิดดอกเบี้ย20,000 บาท รวมไปด้วยเพราะเป็นการนำสืบถึงการชำระดอกเบี้ย ไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94(อ้างฎีกาที่ 936/2504) แต่จำเลยจะนำสืบพยานบุคคลว่าได้ชำระเงินต้นบางส่วนให้แก่โจทก์แล้วไม่ได้ เพราะมูลคดีนี้เป็นเรื่องกู้ยืมโดยมีที่ดินจำนองเป็นประกันอันมีหลักฐานเป็นหนังสือ จะนำสืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมหรือได้เวนคืน หรือได้แทงเพิกถอนในเอกสารการกู้ยืมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคสอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้นำที่ดินโฉนดที่ 869 ตำบลบึงชำอ้อ อำเภอหนองเสือจังหวัดปทุมธานีมาจดทะเบียนจำนองไว้กับโจทก์เพื่อประกันการกู้ยืมเป็นเงินหนึ่งแสนบาท จำเลยผิดนัดไม่ชำระดอกเบี้ยตามสัญญา คงค้างชำระดอกเบี้ย7 ปีเศษ โจทก์ขอคิดเพียง 5 ปี อัตราร้อยละ 8 ต่อปีเป็นเงิน 40,000 บาท ขอให้จำเลยชำระเงินต้นและดอกเบี้ยรวม 140,000 บาท และเสียดอกเบี้ยร้อยละ 8 ต่อปีจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จหากไม่ชำระก็ขอให้นำที่ดินออกขายทอดตลาดนำเงินชำระให้โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยได้นำที่ดินตามฟ้องจำนองไว้กับโจทก์เพื่อประกันเงินกู้ 100,000 บาทจริง แต่ได้กู้ยืมและรับเงินกันเพียง 80,000 บาทอีก 20,000 บาทเป็นดอกเบี้ยที่โจทก์คิดรวมเข้าไว้ด้วย หลังจากทำสัญญาจำนองแล้ว จำเลยได้ชำระต้นเงินและดอกเบี้ยให้โจทก์ทุกปี เมื่อคิดบัญชีกันแล้ว จำเลยคงค้างเงินกันอยู่ 37,000 บาท โจทก์ไม่ยอมให้จำเลยไถ่ถอนจำนอง การบอกกล่าวบังคับจำนองไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จึงขอฟ้องแย้งบังคับให้โจทก์รับเงิน 37,000 บาท และไถ่ถอนจำนองให้จำเลย หากโจทก์ไม่ปฏิบัติตามขอให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของโจทก์
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยได้กู้เงินและรับเงินจำนวนหนึ่งแสนบาทไปตามสัญญาจำนองครบถ้วยแล้ว จำเลยไม่เคยผ่อนชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้โจทก์เลย คงค้างเงินต้นและดอกเบี้ยอยู่ตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินต้นและดอกเบี้ยรวม 140,000บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 8 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์หากไม่ชำระเงินดังกล่าวให้นำที่ดินที่จำนองไว้ขายทอดตลาดนำเงินมาชำระให้โจทก์จนครบ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยมีสิทธินำสืบพยานบุคคลว่าจำเลยได้กู้ยืมเงินและรับเงินไปจากโจทก์เพียง 80,000 บาท แต่โจทก์คิดดอกเบี้ย20,000 บาทรวมไปด้วยนั้นเห็นว่า ข้อต่อสุ้ของจำเลยมีความหมายว่าจำเลยได้ทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์ 100,000 บาทจริงตามสัญญา แต่ต้องหักใช้โจทก์เป็นดอกเบี้ยล่วงหน้าเสีย 20,000 บาท คงรับเงินมา 80,000 บาท ดังนี้เป็นการนำสืบถึงการชำระดอกเบี้ย จึงไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94
แต่ที่จำเลยอ้างว่าได้ชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ไปบางส่วนแล้วคงค้างอยู่เพียง 37,000 บาทนั้น เห็นว่ามูลคดีเป็นเรื่องกู้ยืม โดยมีที่ดินจำนองเป็นประกันอันมีหลักฐานเป็นหนังสือ จะนำสืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมหรือได้เวนคืนหรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารการกู้ยืมนั้นตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคสอง เมื่อจำเลยไม่มีหลักฐานการใช้ต้นเงินกู้ให้โจทก์ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้มาแสดงต่อศาล จึงต้องห้ามมิให้ยอมรับฟังพยานบุคคลแทน
พิพากษายืน