แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พฤติการณ์ที่นับว่าเป็นเรื่องสำคัญผิดในสาระสำคัญแห่งนิติกรรม
เมื่อสัญญาวางเงินมัดจำปรากฎชัดแจ้งว่าการซื้อขายที่ดินตกลงราคากัน 40,000 บาท โจทก์ได้วางเงินมัดจำให้จำเลยรับไปในวันทำสัญญา 30,000 บาท จำเลยจะอ้างและนำพยานบุคคลมาสืบว่าได้รับเงินไปในวันทำสัญญาเพียง 500 บาท ย่อมเป็นการสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขสัญญาวางเงินมัดจำที่จำเลยทำให้โจทก์ยึดถือไว้ต้องห้ามตาม ป.วิ.แพ่ง ม.94
ในคดีฟ้องขอให้แสดงว่าสัญญาซื้อขายที่ดินเป็นโมฆะโดยอ้างว่าสำคัญผิดในสาระสำคัญแห่งนิติกรรม เมื่อจำเลยมิได้โต้เถียงในเรื่องความประมาทเลินเล่อ ฯ ไว้ในคำให้การ ก็ไม่มีประเด็นที่ศาลจะพึงรับพิจารณาวินิจฉัยให้.
ย่อยาว
คดีนี้ได้ความว่า จำเลยได้ตกลงขายที่ดินไม่มีโฉนดเนื้อที่ ๑๐๐ ไร่ อยู่ตำบลตลิ่งชัน อำเภอเมืองสุพรรณบุรี ให้โจทก์เป็นราคา ๔๐,๐๐๐ บาท โจทก์ตกลงและวางเงินมัดจำให้จำเลยรับไปในวันทำสัญญาวางมัดจำระบุว่าจำเลยตกลงขายนา ๑๐๐ ไร่ อาณาเขตทิศเหนือติดทางหลวง ทิศใต้ติดนานายขุน ทิศตะวันออกติดนานางหงวน ทิศตะวันตกติดนานายเลี่ยม ก่อนซื้อจำเลยได้พาโจทก์ไปดูที่ชี้ดินให้โจทก์ดู โจทก์เห็นสภาพของที่ดินตามที่จำเลยชี้เป็นที่เตียนทำประโยชน์ได้ดี จึงรับซื้อในราคาไร่ละ ๔๐๐ บาท ครั้นไปทำสัญญาซื้อขายกันที่อำเภอและจำเลยJนำกำนั้นรังวัดสอบเขตเพื่อส่งมอบที่ให้โจทก์ปรากฎว่าอาณาเขตผิดจากที่ตกลงไว้ในสัญญาวางมัดจำโดยมีที่เตียนทำนาได้ ๔๐ ไร่ รกร้าง ๖๐ ไร่ ที่ทางตะวันตกที่ว่าติดกับที่ นายเลี่ยม ซึ่งรวมอยู่ในที่ที่จะขายกลับปรากฎว่าติดกับที่นายทุที่รก ๖๐ ไร่ ที่จำเลยโดนให้ไม่เคยตกลงซื้อขายกันที่ดินตามสัญญาซื้อขายไม่ใช่ที่ดินตามที่จำเลยชี้ให้โจทก์ดูซึ่งโจทก์พอใจตกลงรับซื้อ สภาพของที่ดินที่จำเลยชี้จะขายให้ผิดกับสภาพของที่ดินที่ทำสัญญาซื้อขายกันมากมาย โจทก์จึงฟ้องขอให้แสดงว่าสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์จำเลยเป็นโมฆะ โดยอ้างว่า โจทก์ทำไปโดยสำคัญผิดในสาระสำคัญแห่งนิติกรรม
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยเหตุผลว่าตามพฤติการณ์แสดงว่าโทก์เลินเล่ออย่างร้ายแรง นิติกรรมการซื้อขายระหว่างโจทก์จำเลยไม่เป็นโมฆะ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์เห็นว่า ปัญหาที่ว่าโจทก์ได้ทำสัญญาซื้อที่ดินจากจำเลยโดยผิดสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมหรือไม่นั้น ปรากฎตามสัญญาวางมัดจำเอกสารหมาย จ.+ ว่าการซื้อขายที่ดินตกลงราคากัน ๔๐,๐๐๐ บาท โจทก์ได้วางเงินมัดจำให้จำเลยรับไปแล้วในวันทำสัญญา ๓๐,๐๐๐ บาท จำเลยจะอ้างและนำพยานบุคคลเข้าสืบว่าได้รับเงินไปในวันนั้นเพียง ๕,๐๐๐ บาท (โดยจำเลยต่อสู้ว่าตกลงขายที่นาไม่มีโฉนดเนื้อที่ ๑๐๐ ไร่ ในราคา ๑๕,๐๐๐ จำเลยมิได้รับเงินมัดจำ ๓๐,๐๐๐ บาท ความจริงโจทก์ออกเงินให้จำเลย ๕๐๐๐ บาทไปไถ่ถอนนาซึ่งจำนองไว้) ย่อมเป็นการสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขสัญญาวางเงินมัดจำ คดีต้องห้ามมีให้นำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารตาม ป.วิ.แห่ง ม. ๙๔ ข้อเท็จจริงจึงเป็นอันยุติรับฟังตามเอกสารหมาย จ.๑ ว่า ที่ดินที่โจทก์จำเลยตกลงซื้อขายกันราคา ๔๐,๐๐๐ บาท จำเลยได้รับเงินมัดจำไว้จากโจทก์แล้ว ๓๐,๐๐๐ บาท ในวันทำสัญญา
การซื้อขายที่ดินตรงไหนตามคำพยานหลักฐานได้ความว่า โจทก์ไม่เคยเห็นที่ที่จำเลยขายให้มาก่อน จำเลยชี้สภาพที่ดินให้ดูอย่างไร โจทก์ย่อมเข้าใจและถือเอาตามนั้นว่าเป็นที่ดินที่จะซื้อขายกัน การที่จะรับฟังผืนเอกสารหลักฐานตามเอกสารหมาย จ.๑ ไปว่า ที่ที่จะซื้อขายกันด้านตะวันตกติดที่นายทุไม่ใช่ติดที่นายเลี่ยมต้องมีพยานหลักฐานและเหตุผลประกอบกันมั่นคงแน่นแฟ้นชี้ให้เห็นเป็นอย่างอื่นจึงจะหักล้างรับฟังได้ คงเนื่องจากโจทก์ได้เห็นสภาพที่ดินตามที่จำเลยชี้ให้ดูเป็นที่เตียนทำประโยนช์ได้ดี โจทย์จึงพอใจตกลงรับซื้อในเนื้อที่ ๑๐๐ ไร่ ราคา ๔๐,๐๐๐ บาท รูปคดีมีเหตุผลส่อให้เห็นว่าเมื่อไปชี้ให้โจทก์ดูก่อนตกลงซื้อขายจำเลยคง๙ี้ที่ดินของคนอื่นซึ่งเป็นที่เตียนเช่นที่ของนายทุรวมเข้าด้วย ด้านตะวันตกของที่ดินที่ตกลงจะซื้อขายจึงปรากฎในสัญญาวางมัดจำเอกสารหมาย จ.๑ ติดที่นานายเลี่ยมซึ่งรวมเอาที่ของนายทุเข้าไปด้วยพยานหลักฐานโจทก์น่าเชื่อว่าที่ดินตามสัญญาซื้อขายไม่ใช่ที่ดินตามที่จำเลยชี้ซึ่งโจทก์พอในตกลงรับซื้อสภาพของที่ดินที่จำเลยชี้จะขายโจทก์ผิดกับสภาพของที่ดินที่ทำสัญญาซื้อขายกันมากมาย นับว่าโจทก์สำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรม โจทก์ย่อมขอให้ศาลแสดงว่าสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์จำเลย เป็นโมฆะ และให้จำเลยคืนเงินมัดจำและค่าที่ดินได้
ที่ศาลชั้นต้นฟังว่าโจทก์เลินเล่ออย่างร้ายแรงนั้น จำเลยมิได้โต้เถียงในเรื่องความประมาณเลินเล่อของโจทก์ไว้ในคำให้การ จึงไม่มีประเด็นที่ศาลจะพิจารณาวินิจฉัย
พิพากษากลับว่า สัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์จำเลยเป็นโมฆะให้จำเลยคืนเงินค่ามัดจำและค่าซื้อขายที่ดินให้โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี และเสียค่าธรรมเนียมค่าทนายแทนโจทก์.