คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1708/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขาย จำเลยทั้งสองให้การว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความประเด็นข้อพิพาทจึงมีว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ ซึ่งศาลชอบที่จะวินิจฉัยได้จากคำฟ้องประกอบกับสัญญาจะซื้อจะขายในคำฟ้องปรากฏข้อความชัดเจนว่าจำเลยทั้งสองตกลงจดทะเบียนโอนที่ดินในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2528ส่วนหนังสือสัญญาซื้อขายก็ปรากฏข้อความว่าจำเลยทั้งสองจะทำการโอนกรรมสิทธิ์กันให้ถูกต้องตามกฎหมายในปี2528 อันเป็นการแสดงว่าจำเลยทั้งสองต้องจดทะเบียนโอนที่ดินภายใน วันที่ 31 ธันวาคม 2528 เป็นอย่างช้าที่สุด ดังนั้น เมื่อจำเลยทั้งสองผิดนัดไม่ดำเนินการทางทะเบียนให้แก่โจทก์ภายในเวลาดังกล่าว สิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่จะให้จำเลยทั้งสองปฏิบัติตามสัญญาจึงเกิดขึ้นตั้งแต่วันถัดจากวันที่ 31 ธันวาคม 2528 เป็นต้นไป เมื่อสิทธิเรียกร้องของโจทก์ในคดีนี้มิได้มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะ จึงต้องอยู่ในกำหนดอายุความ 10 ปี ตามที่ ป.พ.พ. มาตรา 193/30บัญญัติไว้ โจทก์จึงชอบที่จะใช้สิทธิฟ้องคดีอย่างช้าภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2538 แต่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีในวันที่ 1 กรกฎาคม 2542 เกินกว่ากำหนด 10 ปี ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความตามบทบัญญัติ แห่ง ป.พ.พ. มาตรา193/9 ที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์และจำเลย แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์จึงชอบแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่366 ตำบลม่วงงาม อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา ให้แก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ไปให้ถือเอาตามคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 ในประเด็นว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีพอวินิจฉัยได้แล้ว ให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลยทั้งสอง ยกคำร้องขอให้วินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายของจำเลยทั้งสอง แล้วพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ที่เสียเกินมา 800 บาท แก่โจทก์ ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 1,000 บาทแทนจำเลยทั้งสอง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำฟ้องของโจทก์แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาว่า จำเลยทั้งสองตกลงจะขายที่ดินให้แก่โจทก์ 1 แปลง และทำสัญญาไว้ต่อกัน ตามหนังสือสัญญาจะซื้อขาย แต่จำเลยทั้งสองผิดนัดไม่ไปจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่โจทก์ตามสัญญา จึงขอให้บังคับจำเลยทั้งสองปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อขายดังกล่าว ขณะเดียวกันจำเลยทั้งสองก็ได้แสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ประเด็นพิพาทข้อหนึ่งจึงมีว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ ซึ่งประเด็นพิพาทข้อนี้ศาลชอบที่จะวินิจฉัยได้จากคำฟ้องประกอบหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายท้ายฟ้อง ที่โจทก์อ้างเป็นมูลเหตุแห่งคดีนี้นั่นเอง โดยไม่จำต้องอาศัยข้อเท็จจริงจากการสืบพยานหลักฐานใดๆ ทั้งนี้เพราะในคำฟ้องปรากฏข้อความชัดเจนว่าจำเลยทั้งสองตกลงจะจดทะเบียนโอนในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2528 ส่วนหนังสือสัญญาดังกล่าวก็ปรากฏข้อความว่าจำเลยทั้งสองจะทำการโอนกรรมสิทธิ์กันให้ถูกต้องตามกฏหมายในปี 2528 อันเป็นการแสดงว่าจำเลยทั้งสองต้องจดทะเบียนโอนภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2528 เป็นอย่างช้าที่สุด ดังนั้น เมื่อจำเลยทั้งสองผิดนัดไม่ดำเนินการทางทะเบียนให้แก่โจทก์ภายในเวลาดังกล่าว สิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่จะให้จำเลยทั้งสองปฏิบัติตามสัญญาจึงเกิดขึ้นตั้งแต่วันถัดจากวันที่ 31 ธันวาคม 2528 เป็นต้นไป เมื่อสิทธิเรียกร้องของโจทก์ในคดีนี้มิได้มีกฏหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะ จึงต้องอยู่ในกำหนดอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 บัญญัติไว้ โจทก์จึงชอบใช้สิทธิฟ้องคดีอย่างช้าภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2538 แต่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ในวันที่1 กรกฎาคม 2542 เกินกว่ากำหนด 10 ปี ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/9 ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลยทั้งสองแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์เพราะเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้โดยไม่จำต้องทำการสืบพยานโจทก์และจำเลยทั้งสองต่อไป และศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืนมานั้น ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 1,000 บาท แทนจำเลยทั้งสอง

Share