แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ทำสัญญาเช่าที่ดินบางส่วนจากจำเลยโดยหนังสือสัญญาเช่าข้อหนึ่งระบุว่า หากจำเลยต้องการจะขายที่ดินซึ่งรวมถึงที่ดินที่โจทก์เช่าอยู่แล้ว จำเลยจะต้องขายที่ดินเฉพาะส่วนที่เช่าให้โจทก์ในราคาเท่ากับที่เสนอขายให้บุคคลอื่น ต่อมาผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยมีหนังสือแจ้งให้โจทก์ทราบว่าจะขายที่ดินของจำเลยให้แก่ผู้มีชื่อในราคา 4,500,000 บาท หากโจทก์สนใจขอให้ติดต่อด่วนเมื่อโจทก์ได้แสดงเจตนาตอบรับจะซื้อที่ดินตามราคาที่จำเลยเสนอขายตามส่วนของที่ดินแล้ว จำเลยก็ต้องขายที่ดินให้แก่โจทก์ในราคาดังกล่าว จำเลยจะอ้างว่าข้อความตามสัญญาเช่ายังไม่มีผลใช้บังคับตราบใดที่จำเลยยังมิได้ขายที่ดินให้แก่บุคคลอื่นมิได้ เพราะมิฉะนั้นสัญญาเช่าดังกล่าวก็จะไม่มีผลในเมื่อจำเลยขายที่ดินทั้งแปลงให้บุคคลอื่นไปแล้ว จำเลยก็ย่อมไม่มีที่ดินมาขายให้โจทก์ตามสัญญาได้อีก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันไปทำการจดทะเบียนการซื้อขายและแบ่งแยกที่ดินเนื้อที่ 1 ไร่ 40 ตารางวา ให้แก่โจทก์ในราคา168,946.96 บาท หากจำเลยไม่ยินยอมไปจดทะเบียนให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย จำเลยทั้งห้าให้การว่าจำเลยไม่เคยเสนอขายที่ดินให้โจทก์ โจทก์จำเลยไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นสอบข้อเท็จจริงจากคู่ความทุกฝ่ายแล้วมีคำสั่งงดสืบพยานแล้วออกไปเดินเผชิญสืบที่ดินพิพาท และพิพากษาให้จำเลยร่วมกันไปจดทะเบียนซื้อขายแบ่งแยกโอนที่ดินเฉพาะส่วนที่โจทก์เช่าทำถนนตามสัญญา ถ้าจำเลยไม่ไปจดทะเบียนซื้อขายให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย จำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่ว่าจำเลยทั้งห้าจะต้องขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ที่ 1 หรือไม่นั้น เห็นว่าตามหนังสือสัญญาเช่าที่ดิน ข้อ 9 มีข้อความชัดเจนว่า หากจำเลยทั้งห้าต้องการจะขายที่ดินของตนซึ่งรวมถึงที่ดินพิพาทที่โจทก์ที่ 1 เช่าอยู่แล้ว จำเลยทั้งห้าจะต้องขายที่ดินเฉพาะส่วนที่เช่าคือที่ดินพิพาทให้โจทก์ที่ 1 ในราคาเท่ากับที่เสนอขายให้บุคคลอื่นดังนั้นเมื่อข้อเท็จจริงได้ความจากหนังสือของนายวิเศษผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยทั้งห้าแจ้งให้โจทก์ที่ 1 ทราบว่า ประสงค์จะขายที่ดินของจำเลยทั้งห้าให้แก่ผู้มีชื่อในราคา 4,500,000 บาท ตามเอกสารหมาย จ.5 และโจทก์ที่ 1 ได้แสดงเจตนาตอบรับจะซื้อที่ดินพิพาทในราคาที่จำเลยทั้งห้าเสนอขายตามส่วนของที่ดินแล้ว จำเลยทั้งห้าจึงต้องขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ที่ 1 ในราคาดังกล่าว ที่จำเลยทั้งห้าฎีกาว่าตามหนังสือสัญญาเช่าที่ดินข้อ 9 หมายถึงในกรณีที่จำเลยต้องการขายที่ดินให้กับบุคคลอื่นอย่างจริงจัง ตราบใดที่จำเลยยังมิได้ขายที่ดินให้กับบุคคลอื่น สัญญาเช่าข้อ 9 ยังไม่มีผลใช้บังคับนั้น เห็นว่าตามหนังสือสัญญาเช่าที่ดินดังกล่าวหาได้มีข้อความระบุไว้ดังฎีกาของจำเลยไม่ และถ้าหากจะต้องตีความในสัญญาดังจำเลยอ้างคือ จำเลยต้องทำการขายที่ดินให้แก่บุคคลภายนอกก่อนสิทธิของโจทก์ที่จะขอซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยจึงจะเกิดขึ้นแล้วหนังสือสัญญาเช่าที่ดิน ข้อ 9 ก็จะไม่มีผล เพราะหากจำเลยทั้งห้าขายที่ดินของตนทั้งแปลงให้แก่บุคคลอื่นไปแล้ว จำเลยทั้งห้าจะเอาที่ดินพิพาทมาขายให้แก่โจทก์ที่ 1 อีกได้อย่างไร ที่จำเลยทั้งห้าฎีกาว่า หนังสือของนายวิเศษตามเอกสารหมาย จ.5 เป็นเพียงการทาบทามหรือลองถามถึงความต้องการของโจทก์ไม่ถือเป็นคำเสนอของจำเลยนั้น เห็นว่า ข้ออ้างดังกล่าวนอกจากจะขัดกับข้อความในเอกสารหมาย จ.5 แล้ว ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ 17 เมษายน 2528 จำเลยที่ 1 ยังแถลงยอมรับว่า ได้มอบอำนาจให้นายวิเศษบอกขายที่ดินของจำเลยทั้งห้าทั้งแปลงจริง และยังแถลงรับต่อไปว่า มีผู้สนใจจะซื้อที่ดินดังกล่าวในราคา4,500,000 บาท ด้วย ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยทั้งห้าขายที่ดินพิพาทแก่โจทก์ที่ 1 จึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งห้าฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน