แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ในคดีอาญา ศาลสั่งให้งดสืบพยานโจทก์ที่ไม่มาศาลไปแล้วต่อมาระหว่างสืบพยานจำเลย พยานมาศาล เนื่องจากเป็นประจักษ์พยานโจทก์เพียงปากเดียวที่รู้เห็นเกี่ยวกับประเด็นในคดีศาลย่อมมีอำนาจสั่งให้สืบพยานดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 228.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,371, 91 จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้องลดโทษหนึ่งในสามแล้ว จำคุกตามมาตรา 288 มีกำหนด 10 ปี และปรับตาม มาตรา 371 เป็นเงิน 40 บาท จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์มีนายคำเพ็ชรหรือเพชร ไชยนานเป็นประจักษ์พยานเบิกความว่า ขณะที่พยานกำลังเล่นกับสุนัขอยู่หน้าห้องพักคนงานและมีผู้ตายเข้ามาหยอกล้อพยานอยู่นั้น จำเลยได้มาขอร้องไม่ให้ส่งเสียงดัง ผู้ตายไม่พอใจได้ถีบจำเลยไป 1 ทีจำเลยกลับเข้าไปเอามีดในห้องพักจำเลยออกมาและร้องท้าทายผู้ตายซึ่งกลับเข้าไปดื่มสุราในห้องพักนายดำ เมื่อผู้ตายออกมาก็ถูกจำเลยแทง 1 ที ผู้ตายถอยเข้าไปในห้องพักหยิบเอาไม้ออกมาตีจำเลยจำเลยจึงใช้มีดแทงอีก 1 ที แล้ววิ่งหนีไป เห็นว่า นายคำเพ็ชรหรือเพชรไม่ปรากฏว่ามีสาเหตุกับจำเลย ทั้งคำเบิกความดังกล่าวก็ตรงกับที่ได้เคยให้การไว้ในชั้นสอบสวนตามเอกสารหมาย จ.9จึงเชื่อว่า ประจักษ์พยานโจทก์ปากนี้ได้เบิกความไปตามความจริงที่รู้เห็นมา นอกจากนี้โจทก์ยังมีสิบตำรวจโทสาโรจน์ รอดมณีผู้จับกุมจำเลยเบิกความว่า ชั้นจับกุมจำเลยให้การรับสารภาพตามเอกสารหมาย จ.1 และพันตำรวจโทบำรุงฤทธิ์ มหารักขกะ พนักงานสอบสวนเบิกความว่า ชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพตามเอกสารหมาย จ.7 และนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพตามเอกสารหมายจ.8 ซึ่งคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยดังกล่าวก็สอดคล้องกับคำเบิกความของประจักษ์พยานโจทก์ที่ว่าจำเลยไปขอร้องไม่ให้ผู้ตายทำเสียงดังผู้ตายไม่พอใจถีบจำเลย จำเลยจึงเข้าไปเอามีดปลายแหลมในห้องออกมาแทงผู้ตาย พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักมั่นคงที่จำเลยนำสืบว่า ผู้ตายได้ออกมาจากห้องนายดำแล้วใช้ไม้ตีฝาใกล้ห้องพักจำเลย จำเลยจึงมาขอร้องผู้ตายให้กลับไปนอนแต่ผู้ตายกลับท้าทายจำเลยแล้วมีเสียงร้องจากห้องนายดำว่าให้นำเจ้าหน้าที่ตำรวจมาจับผู้ตาย ผู้ตายเข้าใจว่าเป็นเสียงจำเลยนั้น ขัดต่อเหตุผล เพราะเมื่อเสียงที่ร้องให้นำเจ้าหน้าที่ตำรวจมาจับจำเลยดังมาจากในห้องพักของนายดำเช่นนี้ ผู้ตายจะเข้าใจว่าเป็นเสียงของจำเลยได้อย่างไร เนื่องจากขณะนั้นจำเลยเองก็อยู่ข้างนอกห้องพักเช่นเดียวกับผู้ตาย นอกจากนี้การที่ผู้ตายทำเสียงเอะอะแล้วมีผู้ร้องบอกให้นำเจ้าหน้าที่ตำรวจมาจับผู้ตายก็ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร แม้ผู้ตายจะเข้าใจว่าจำเลยเป็นผู้ร้องแต่ผู้ตายก็ได้ด่าและถีบจำเลยซึ่งน่าจะเป็นการเพียงพอแล้ว จึงไม่น่าเชื่อว่าผู้ตายจะใช้ไม้ไล่ตีจำเลยเข้าไปในห้องอีกดังที่จำเลยนำสืบส่วนที่จำเลยฎีกาว่าการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบนายคำเพ็ชรหรือเพชรประจักษ์พยานโจทก์เนื่องจากไม่ได้ตัวมาสืบ ต่อมาเมื่อสืบตัวจำเลยซึ่งอ้างตัวเองเป็นพยานเสร็จแล้ว กลับอนุญาตให้โจทก์นำนายคำเพ็ชรหรือเพชรเข้าเบิกความอีกจึงเป็นการไม่ชอบเพราะทำให้จำเลยเสียเปรียบนั้น เห็นว่านายคำเพ็ชรหรือเพชรซึ่งศาลมีคำสั่งให้งดสืบเป็นพยานสำคัญเนื่องจากเป็นประจักษ์พยานโจทก์เพียงปากเดียวที่รู้เห็นเกี่ยวกับประเด็นในคดีดังนั้นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลย่อมมีอำนาจสั่งให้สืบพยานดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 228ทั้งการกระทำดังกล่าวไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบแต่อย่างใดเนื่องจากยังอยู่ในระหว่างสืบพยานจำเลย ซึ่งจำเลยมีโอกาสถามค้านและนำสืบหักล้างคำเบิกความของประจักษ์พยานโจทก์นั้นได้ พยานหลักฐานของจำเลยดังกล่าวมาจึงไม่มีน้ำหนักพอที่จะหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ก่อนเกิดเหตุจำเลยได้ขอร้องผู้ตายไม่ให้ทำเสียงดังผู้ตายไม่พอใจจึงถีบจำเลยไป 1 ที จำเลยเข้าไปเอามีดปลายแหลมในห้องแล้วออกมาท้าทายผู้ตายซึ่งอยู่ในห้องพักนายดำให้มาสู้กัน เมื่อผู้ตายออกมาจำเลยก็ใช้มีดแทงผู้ตาย 1 ที ครั้นผู้ตายใช้ไม้ตีจำเลยจำเลยก็แทงผู้ตายอีก 1 ที ดังนี้การกระทำของจำเลยจึงเป็นการสมัครใจที่จะต่อสู้กับผู้ตาย หาเป็นการป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมายไม่ เมื่อผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะพิษบาดแผลที่ถูกแทง จำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนาดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในข้อนี้”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์