คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3250/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่โจทก์ทั้งเจ็ดซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทจำเลยที่ 1 และโจทก์ที่ 1 เป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทจำเลยที่ 2 ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 2 ขายส่งรถยนต์และชิ้นส่วนอะไหล่ยี่ห้อนิสสันให้จำเลยที่ 1 เพียงผู้เดียวตลอดไป รวมทั้งให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายกับสัญญาจัดจำหน่ายและเรียกค่าเสียหายมาด้วยนั้น เป็นการที่ผู้ถือหุ้นก้าวล่วงเข้าไปจัดการงานของบริษัทเสียเอง เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ทั้งเจ็ดและโจทก์ที่ 1 มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 และที่ 2 แต่อย่างใด จะมีสิทธิก็แต่เพียงควบคุมการดำเนินงานของจำเลยทั้งสองบางประการตามที่กฎหมายบัญญัติไว้เท่านั้น หาอาจก้าวล่วงเข้าไปจัดการงานของบริษัทเสียเองได้ไม่ แม้บริษัทที่โจทก์ทั้งเจ็ดและโจทก์ที่ 1 ถือหุ้นอยู่จะไม่ดำเนินการฟ้องร้องบุคคลภายนอกก็ตามโจทก์ทั้งเจ็ดและโจทก์ที่ 1 ก็หามีสิทธินำคดีมาฟ้องเองได้ไม่ ส่วนคำฟ้องที่โจทก์ทั้งเจ็ดเรียกร้องค่าเสียหายเอาจากจำเลยที่ 4 ถึงที่ 7 ในฐานะกรรมการของจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 4 ถึงที่ 8 ในฐานะกรรมการของจำเลยที่ 2 ก็เป็นเรื่องที่สืบเนื่องจากปัญหาที่ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 จะถูกโจทก์ทั้งเจ็ดฟ้องร้องได้หรือไม่เสียก่อนมิใช่เรียกร้องเอาจากจำเลยที่ 4 ถึงที่ 8 โดยตรง กรณีจึงไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1169 โจทก์ทั้งเจ็ดไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยดังกล่าวในข้อหานี้ได้ และแม้การที่โจทก์ทั้งเจ็ดฟ้องคดีในฐานะเป็นคู่สัญญาในข้อตกลงระหว่างผู้ถือหุ้นกับบริษัทและโจทก์ที่ 1 กับที่ 7 ในฐานะคู่สัญญาในสัญญาร่วมทุนก็ตามแต่เมื่อข้อตกลงมีสาระสำคัญว่า ผู้ถือหุ้นของจำเลยที่ 1 และของบริษัทในเครือของจำเลยทั้งสองจะเพิ่มทุนและยอมสละสิทธิการซื้อหุ้นเพิ่มทุน การเข้าเป็นคู่สัญญาของโจทก์ในสัญญาร่วมลงทุนจึงหาได้เกี่ยวข้องกับข้อตกลงในทางการค้าระหว่างฝ่ายจำเลยไม่ ถือว่าเป็นเพียงรายละเอียดและเป็นเรื่องสืบเนื่องรองลงมาจากคำขอในส่วนที่โจทก์ทั้งเจ็ดเป็นผู้ถือหุ้นของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทั้งสิ้น คำฟ้องของโจทก์ทั้งเจ็ดจึงเป็นการอาศัยสิทธิในฐานะผู้ถือหุ้นของบริษัทมาก้าวล่วงฟ้องร้องคดีเพื่อบังคับบุคคลนอกบริษัทเป็นสำคัญ ซึ่งไม่อาจกระทำได้เพราะไม่ต้องด้วย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1169 เมื่อฟังว่าโจทก์ทั้งเจ็ดไม่มีอำนาจฟ้องแล้ว กรณีก็ไม่จำต้องวินิจฉัยว่ามีเหตุต้องนำคดีนี้ไปดำเนินการทางอนุญาโตตุลาการก่อนหรือไม่อีกต่อไป

ย่อยาว

โจทก์ทั้งเจ็ดฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์ที่ 7 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีโจทก์ที่ 1 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนามและประทับตราสำคัญกระทำการแทนบริษัทโจทก์ที่ 7 ได้ จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีจำเลยที่ 4 ที่ 5 ที่ 6และที่ 7 เป็นกรรมการ จำเลยที่ 2 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดเดิมชื่อบริษัทสยามอุตสาหกรรมรถยนต์ จำกัด มีจำเลยที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 ที่ 7 และที่ 8 เป็นกรรมการ จำเลยที่ 3 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายของประเทศญี่ปุ่น จำเลยที่ 3 ประกอบกิจการในประเทศไทยโดยมีตัวแทนหรือบุคคลผู้ติดต่อในการประกอบกิจการในประเทศไทยหลายคนรวมทั้งจำเลยที่ 8 ด้วย โจทก์ที่ 1 และนายถาวร พรประภา ได้ร่วมกันจัดตั้งบริษัทจำเลยที่ 1 เป็นบริษัทแม่มีบริษัทสยามกลการและนิสสัน จำกัด และบริษัทจำเลยที่ 2 เป็นบริษัทในเครือที่ทำหน้าที่หลักในการประกอบและผลิตรถยนต์ยี่ห้อนิสสันและชิ้นส่วนอะไหล่ของรถยนต์ดังกล่าว โจทก์ที่ 2 เป็นภริยาของโจทก์ที่ 1โจทก์ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 บริษัทโจทก์ที่ 7 เป็นบริษัทที่โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 6 เป็นผู้ถือหุ้นอยู่ โจทก์ทั้งเจ็ดเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบริษัทแม่ และโจทก์ที่ 1 มีข้อตกลงระหว่างผู้ถือหุ้นทั้งหมดของบริษัทในเครือทั้งสองกับบริษัทจำเลยที่ 1 และบริษัทในเครือทั้งสอง ซึ่งต่อไปจะเรียกข้อตกลงดังกล่าวว่าข้อตกลงระหว่างผู้ถือหุ้นและบริษัท โดยข้อตกลงมีสาระสำคัญว่าบริษัทในเครือทั้งสองจะต้องมีหน้าที่และความผูกพันโดยตลอดไปในการขายส่งรถยนต์และชิ้นส่วนอะไหล่ยี่ห้อนิสสันให้แก่บริษัทจำเลยที่ 1 อีกทั้งบริษัทจำเลยที่ 1 จะต้องมีสิทธิโดยตลอดไปในการเป็นผู้จัดจำหน่ายปลีกแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ต่อมาเมื่อประมาณเดือนเมษายน 2539 โจทก์ทั้งเจ็ดได้ทราบว่าจำเลยทั้งแปดได้ร่วมกันกระทำการอันไม่สุจริตไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นการผิดข้อตกลงและสัญญาต่าง ๆ โดยบริษัทจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 4 ถึงที่ 8 ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกันงดเว้น ไม่ขายส่งรถยนต์ยี่ห้อนิสสันและชิ้นส่วนอะไหล่ให้แก่บริษัทจำเลยที่ 1 แต่ไปทำการขายส่งให้แก่ผู้อื่น และในเดือนเมษายน 2539 บริษัทจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 4 ถึงที่ 8 ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกันบอกเลิกสัญญาซื้อขายที่มีอยู่แก่บริษัทจำเลยที่ 1 นอกจากนี้บริษัทจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 ถึงที่ 7 ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทจำเลยที่ 1 ได้ร่วมกันงดเว้นไม่ดำเนินการฟ้องร้องบริษัทจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 4 ถึงที่ 8 ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทจำเลยที่ 2 เพื่อบังคับให้บริษัทจำเลยที่ 2 ขายส่งรถยนต์และชิ้นส่วนอะไหล่ยี่ห้อนิสสันให้แก่บริษัทจำเลยที่ 1 และเพื่อเรียกค่าเสียหายให้แก่บริษัทจำเลยที่ 1 ฐานผิดสัญญาข้อตกลงระหว่างผู้ถือหุ้นและบริษัท และสัญญาร่วมทุนซึ่งเป็นสัญญาแม่บทของสัญญาโอนกิจการและสัญญาซื้อขาย ในการที่ไม่ขายส่งรถยนต์และชิ้นส่วนกับอะไหล่ยี่ห้อนิสสันให้แก่บริษัทจำเลยที่ 1 การกระทำและหรืองดเว้นกระทำการของบริษัทจำเลยที่ 1 บริษัทจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 4 ถึงที่ 8 ดังกล่าวมานี้ เป็นการจงใจโดยไม่สุจริต ใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น เป็นการอันไม่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นการผิดสัญญา ก่อให้เกิดความเสียหายแก่บริษัทจำเลยที่ 1 รวมทั้งผู้ถือหุ้นของบริษัทจำเลยที่ 1ซึ่งรวมถึงโจทก์ทั้งเจ็ด และยังก่อให้เกิดความเสียหายเป็นการส่วนตัวแก่โจทก์ทั้งเจ็ด ซึ่งเป็นคู่สัญญาตามข้อตกลงระหว่างผู้ถือหุ้นและบริษัทดังกล่าวข้างต้นและก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ที่ 1 และที่ 7 ในฐานะคู่สัญญาของสัญญาร่วมทุน บริษัทจำเลยที่ 1 และบริษัทจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกันทำสัญญาอุปกรณ์ฉบับที่ 2 คือ สัญญาซื้อขายโดยมีข้อสัญญาข้อ 19 ว่าด้วยอายุของสัญญา ได้มีการกำหนดอายุของสัญญาซื้อขายและมีข้อสัญญาข้อ 20 ว่าด้วยการบอกเลิกสัญญา ได้มีการกำหนดเหตุที่จะบอกเลิกสัญญาของสัญญาซื้อขาย นอกจากนี้บริษัทจำเลยที่ 2 ยังได้ทำการบอกเลิกสัญญาของสัญญาซื้อขายโดยไม่สุจริตและไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น ข้อสัญญาข้อ 19และข้อ 20 ของสัญญาซื้อขายและการบอกเลิกสัญญาซื้อขายของบริษัทจำเลยที่ 2ต่อบริษัทจำเลยที่ 1 จึงเป็นการที่ทำขึ้นโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตเป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะทำให้เสียหายแก่โจทก์ทั้งเจ็ดยี่ห้อนิสสันแต่เพียงผู้เดียวตลอดไปและโจทก์ทั้งเจ็ดในฐานะส่วนตัวและผู้ถือหุ้นของบริษัทจำเลยที่ 1 ก็จะมีเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายจากมูลค่าของหุ้นที่ถืออยู่ในบริษัทจำเลยที่ 1 กับเงินปันผลของบริษัทจำเลยที่ 1 ดังนั้นโจทก์ทั้งเจ็ดจึงเป็นผู้เสียหายโดยตรง การกำหนดข้อ 19 และข้อ 20ของสัญญาซื้อขายและการบอกเลิกสัญญาของสัญญาซื้อขายดังกล่าวก่อให้เกิดความเสียหายแก่บริษัทจำเลยที่ 1 รวมทั้งผู้ถือหุ้นของบริษัทจำเลยที่ 1 ซึ่งรวมถึงโจทก์ทั้งเจ็ด และยังก่อให้เกิดความเสียหายเป็นการส่วนตัวแก่โจทก์ทั้งเจ็ด ซึ่งเป็นคู่สัญญาของข้อตกลงระหว่างผู้ถือหุ้นและบริษัท และก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ที่ 1 และที่ 7 ในฐานะคู่สัญญาของสัญญาร่วมทุน บริษัทจำเลยที่ 2 และบริษัทจำเลยที่ 3 รวมทั้งจำเลยที่ 4 ถึงที่ 8 ผู้เป็นกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกันทำสัญญาจัดจำหน่ายระหว่างบริษัทจำเลยที่ 2 และบริษัทจำเลยที่ 3 ฉบับลงวันที่ 23 กุมภาพันธ์2538 ตกลงให้สิทธิแก่บริษัทจำเลยที่ 2 ในการขายรถยนต์และชิ้นส่วนอะไหล่ยี่ห้อนิสสันให้แก่บุคคลอื่นได้โดยตรง โดยไม่จำต้องขายส่งผ่านบริษัทจำเลยที่ 1 และตามสัญญาจัดจำหน่ายดังกล่าว บริษัทจำเลยที่ 3 ยังตกลงว่าบริษัทจำเลยที่ 2 มีสิทธิในการแต่งตั้งบุคคลใดก็ได้เป็นตัวแทนจำหน่ายเพื่อขายรถยนต์และชิ้นส่วนอะไหล่ยี่ห้อนิสสันได้ด้วยและข้อเท็จจริงปรากฏว่านับแต่เดือนมกราคม 2539 เป็นต้นมา บริษัทจำเลยที่ 2 ได้ทำการขายรถยนต์และชิ้นส่วนอะไหล่ยี่ห้อนิสสันให้แก่บุคคลอื่นโดยไม่ผ่านบริษัทจำเลยที่ 1ขอให้บังคับบริษัทจำเลยที่ 2 ให้ทำการขายส่งรถยนต์และชิ้นส่วนอะไหล่ยี่ห้อนิสสันทั้งหมดแก่บริษัทจำเลยที่ 1 แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทยตลอดไป ห้ามมิให้ขายให้แก่บุคคลอื่น และให้พิพากษาแสดงว่าบริษัทจำเลยที่ 1 มีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการเป็นผู้จัดจำหน่ายรถยนต์และชิ้นส่วนกับอะไหล่ยี่ห้อนิสสันดังกล่าวตลอดไป ให้บริษัทจำเลยที่ 1 และบริษัทจำเลยที่ 2 ร่วมกันแสดงเจตนาเพิกถอนสัญญาข้อ 19 และข้อ 20 ของสัญญาซื้อขาย ฉบับลงวันที่ 1 มีนาคม 2534 หากบริษัทจำเลยที่ 1 และบริษัทจำเลยที่ 2ไม่ปฏิบัติตาม ขอให้พิพากษาเพิกถอนและพิพากษาว่า สัญญาซื้อขายฉบับดังกล่าวนอกจากสัญญาข้อ 19 และข้อ 20 ยังคงมีผลบังคับใช้โดยชอบระหว่างบริษัทจำเลยที่ 1และบริษัทจำเลยที่ 2 ตลอดไป โดยให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาเพิกถอนของบริษัทจำเลยที่ 1 และของบริษัทจำเลยที่ 2 ให้บริษัทจำเลยที่ 2 และบริษัทจำเลยที่ 3 ร่วมกันแสดงเจตนาเพิกถอนสัญญาจัดจำหน่าย ฉบับลงวันที่ 23 กุมภาพันธ์2538 ทั้งฉบับ หากบริษัทจำเลยที่ 2 และบริษัทจำเลยที่ 3 ไม่ปฏิบัติตาม โดยให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาเพิกถอนของบริษัทจำเลยที่ 2 และบริษัทจำเลยที่ 3หากศาลฟังว่า ไม่สามารถบังคับตามคำขอของโจทก์ดังกล่าวได้ ขอให้พิพากษาให้ยกเลิกเพิกถอนสัญญาโอนกิจการ ฉบับลงวันที่ 26 พฤศจิกายน 2533 ระหว่างบริษัทจำเลยที่ 1และบริษัทจำเลยที่ 2 และให้บริษัทจำเลยที่ 2 จัดการโอนกิจการการประกอบ ผลิต นำเข้าและขายส่งรถยนต์และชิ้นส่วนกับอะไหล่ยี่ห้อนิสสันตามสัญญาโอนกิจการดังกล่าวกลับคืนมาเป็นของบริษัทจำเลยที่ 1 และห้ามมิให้บริษัทจำเลยที่ 2 และที่ 4 ดำเนินกิจการการประกอบผลิต นำเข้า ขายส่ง และขายปลีกรถยนต์และชิ้นส่วนกับอะไหล่ยี่ห้อนิสสัน ไม่ว่าโดยตนเองหรือโดยตัวแทนของจำเลยดังกล่าวอีกต่อไป โดยให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันและแทนกันเสียค่าใช้จ่ายในการโอน โดยบริษัทจำเลยที่ 1 ไม่ต้องจ่ายค่าตอบแทนใด ๆ หากบริษัทจำเลยที่ 2 ไม่โอนคืนให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาโอนคืนของบริษัทจำเลยที่ 2 หากไม่สามารถพิพากษาตามคำขอของโจทก์ได้ ขอให้พิพากษาให้จำเลยทั้งแปดร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งเจ็ดเป็นการส่วนตัวที่ทำให้โจทก์ทั้งเจ็ดเสียประโยชน์จากการที่บริษัทจำเลยที่ 1 มิได้เป็นผู้มีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการเป็นผู้จัดจำหน่ายรถยนต์และชิ้นส่วนกับอะไหล่ยี่ห้อนิสสันดังกล่าวตลอดไปเป็นเงิน 5,031,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี ของเงินจำนวนดังกล่าว นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา ทั้งนี้จนกว่าจำเลยทั้งแปดจะได้ชำระเสร็จสิ้นให้จำเลยทั้งแปดร่วมกันและแทนกันชดใช้ค่าเสียหายซึ่งเกิดมีขึ้นคิดถึงวันฟ้องให้แก่โจทก์ทั้งเจ็ด เพื่อประโยชน์แก่บริษัทจำเลยที่ 1 เป็นจำนวนเงิน5,161,883,687.20 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินจำนวน 5,161,883,687.20 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น และค่าเสียหายนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปเป็นเงินวันละ 918,936.98 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราเดียวกันของเงินดังกล่าวแต่ละจำนวนที่เกิดมีขึ้น จนกว่าจำเลยทั้งแปดปฏิบัติตามคำพิพากษาตามคำขอท้ายฟ้อง ให้จำเลยทั้งแปดร่วมกันและแทนกันชดใช้ค่าเสียหายซึ่งเกิดมีขึ้นคิดถึงวันฟ้องให้แก่โจทก์ทั้งเจ็ดเพื่อประโยชน์แก่บริษัทจำเลยที่ 2เป็นจำนวนเงิน 5,161,883,687.20 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินจำนวนดังกล่าว นับแต่วันถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จและค่าเสียหายนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปเป็นเงินวันละ 918,936.98 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราเดียวกันของเงินดังกล่าวแต่ละจำนวนที่เกิดมีขึ้น ทั้งนี้จนกว่าจำเลยทั้งแปดได้ปฏิบัติตามคำพิพากษา ให้จำเลยที่ 4 ถึงที่ 8 ร่วมกันและแทนกันชำระค่าเสียหายเป็นการส่วนตัวแก่โจทก์ทั้งเจ็ดซึ่งเป็นค่าเสียหายที่เกิดมีขึ้นคิดถึงวันฟ้องเป็นจำนวนเงิน5,161,883,687.20 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินจำนวน5,161,883,687.20 บาท นับแต่วันถัดจากฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นให้จำเลยที่ 4 ถึงที่ 8 ร่วมกันและแทนกันชำระค่าเสียหายเป็นการส่วนตัวแก่โจทก์ทั้งเจ็ดซึ่งเป็นค่าเสียหายที่เกิดมีขึ้นคิดถัดจากวันฟ้องเป็นจำนวนเงิน 918,936.98 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินจำนวน 918,936.98 บาท นับแต่วันถัดจากฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น ให้จำเลยทั้งแปดร่วมกันและแทนกันชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งเจ็ดในการเตรียมการฟ้องคดีเป็นจำนวนเงิน 2,500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีของเงินจำนวน 2,500,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นและค่าทนายความนับถัดจากวันฟ้องไปจนถึงคดีถึงที่สุดจำนวน 7,500,000 บาท

จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การในทำนองเดียวกันว่า โจทก์ทั้งเจ็ดไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในฐานะที่โจทก์ทั้งเจ็ดเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทจำเลยที่ 1 และที่ 2 โจทก์ที่ 1 ฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายจากบริษัทจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ทั้งเจ็ดต้องผูกพันตามข้อ 25 ของสัญญาร่วมทุนดังกล่าวด้วย มีสาระสำคัญว่า ข้อพิพาท ข้อโต้แย้ง หรือความขัดแย้ง ซึ่งอาจเกิดขึ้นระหว่างคู่สัญญาโดยเกิดขึ้นจากหรือเกี่ยวข้องกับสัญญานี้ หรือการละเมิดสัญญานี้เว้นแต่ตกลงกันได้ด้วยการปรึกษาหารือกันโดยสุจริต ให้ได้รับการตัดสินเป็นที่สุดโดยอนุญาโตตุลาการในประเทศสิงคโปร์ตามกฎว่าด้วยการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทและอนุญาโตตุลาการของสภาการค้าระหว่างประเทศ คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจะต้องผูกพันตนตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการที่ให้ในการนั้น หากฟังว่า โจทก์ทั้งเจ็ดเป็นคู่สัญญาในสัญญาร่วมทุนโจทก์ทั้งเจ็ดไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ เพราะโจทก์ทั้งเจ็ดจะต้องส่งเรื่องข้อพิพาท ข้อขัดแย้งไปให้อนุญาโตตุลาการที่ประเทศสิงคโปร์ เป็นผู้ตัดสิน มิใช่มาฟ้องเป็นคดีนี้ต่อศาลขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 3 และที่ 8 ให้การในทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ 3 ไม่ได้ประพฤติผิดสัญญาร่วมทุนแต่อย่างใด การที่จำเลยที่ 3 ทำสัญญาจัดจำหน่ายกับบริษัทจำเลยที่ 2มิได้เป็นการประพฤติผิดสัญญาร่วมทุนแต่อย่างใด สัญญาร่วมทุนกำหนดว่าข้อพิพาทข้อโต้แย้ง หรือความขัดแย้งซึ่งอาจเกิดขึ้นระหว่างสัญญาโดยเกิดขึ้นหรือจากหรือเกี่ยวข้องกับสัญญานี้ หรือการละเมิดสัญญานี้เว้นแต่ตกลงกันได้ด้วยการปรึกษาหารือกันโดยสุจริต ให้ได้รับการตัดสินเป็นที่สุดโดยอนุญาโตตุลาการในประเทศสิงคโปร์ตามกฎหมายว่าด้วยการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทและอนุญาโตตุลาการของสภาการค้าระหว่างประเทศคู่สัญญาแต่ละฝ่ายจะต้องผูกพันตนตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการที่ให้ในการนั้นดังนั้น หากโจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 7 เห็นว่าจำเลยที่ 3 ประพฤติผิดสัญญาร่วมทุนอย่างใดก็ชอบที่จะเสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการในประเทศสิงคโปร์ตามข้อตกลงดังกล่าว กับโจทก์ที่ 7 ซึ่งเป็นคู่สัญญาในสัญญาร่วมทุนดังกล่าวได้รับความเสียหายแต่อย่างใด จำเลยที่ 8 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการทำสัญญาจัดจำหน่ายในฐานะที่เป็นกรรมการของบริษัทจำเลยที่ 2 และสัญญาร่วมทุนได้ทำขึ้นก่อนจำเลยที่ 8 เป็นกรรมการของจำเลยที่ 2 ไม่มีส่วนร่วมรู้เห็นหรือเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจของบริษัทจำเลยที่ 2ในการเข้าทำสัญญาจัดจำหน่ายกับจำเลยที่ 3 และโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 3 และที่ 8 โดยอาศัยข้อกล่าวอ้างที่ว่าโจทก์เป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3ได้ประพฤติผิดสัญญาร่วมทุนและทำละเมิดต่อบริษัทจำเลยที่ 1 ทำให้บริษัทจำเลยที่ 1และโจทก์ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทจำเลยที่ 1 เสียหาย ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาจัดจำหน่ายก็ดี ขอให้จำเลยที่ 3 และที่ 8 ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นการส่วนตัวหรือขอให้จำเลยที่ 3 และที่ 8 ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เพื่อประโยชน์แก่บริษัทจำเลยที่ 1 และหรือบริษัทจำเลยที่ 2 การทำสัญญาจัดจำหน่ายระหว่างบริษัทจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 เป็นเรื่องข้อตกลงโดยเฉพาะระหว่างบริษัทจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 หาเกี่ยวข้องกับบริษัทจำเลยที่ 1 และหรือโจทก์แต่อย่างใดไม่ ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 ให้การว่า โจทก์ทั้งเจ็ดไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 4 ถึงที่ 6ในฐานะคู่สัญญาว่าจำเลยที่ 4 ถึงที่ 6 ผิดสัญญาหรือดำเนินกิจการของบริษัทให้เสียหายจำเลยที่ 4 ถึงที่ 6 ไม่ใช่คู่สัญญาในฐานะส่วนตัวไม่ใช่คู่สัญญากับโจทก์ทั้งเจ็ด โจทก์ทั้งเจ็ดเป็นเพียงผู้ถือหุ้นจึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 7 ให้การว่า โจทก์ทั้งเจ็ดไม่มีอำนาจฟ้อง ตามสัญญาร่วมลงทุนข้อ 25ซึ่งกำหนดว่า ข้อพิพาท ข้อโต้แย้งหรือความขัดแย้ง ซึ่งอาจเกิดขึ้นระหว่างคู่สัญญาโดยเกิดขึ้นจากหรือเกี่ยวกับสัญญานี้ หรือการละเมิดสัญญานี้ เว้นแต่จะตกลงกันด้วยการปรึกษาหารือกันโดยสุจริตให้ได้รับการตัดสินเป็นที่สุดโดยอนุญาโตตุลาการในประเทศสิงคโปร์ตามความหมายว่าด้วยการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทและอนุญาโตตุลาการของสภาการค้าระหว่างประเทศ คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจะต้องผูกพันตนตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ โจทก์ทั้งเจ็ดไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง

ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และที่ 8 ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2530 มาตรา 10

ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งจำหน่ายคดีเพื่อให้ไปดำเนินการทางอนุญาโตตุลาการก่อน

โจทก์ทั้งเจ็ดอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป

จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และที่ 8 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และที่ 8ข้อแรกว่า โจทก์ทั้งเจ็ดเป็นเพียงผู้ถือหุ้นในบริษัท ไม่อาจดำเนินการฟ้องร้องดำเนินคดีแทนบริษัทได้เอง โจทก์ทั้งเจ็ดจึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ได้ความว่าโจทก์ทั้งเจ็ดฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า ผู้ถือหุ้นของบริษัทในเครือจำเลยที่ 1 สองบริษัทซึ่งมีโจทก์ทั้งเจ็ดรวมอยู่ด้วย กับบริษัทจำเลยที่ 1 และบริษัทในเครือจำเลยที่ 1 สองบริษัทได้ทำข้อตกลงระหว่างผู้ถือหุ้นและบริษัท เรียกว่าข้อตกลงระหว่างผู้ถือหุ้นและบริษัทมีสาระสำคัญว่า ผู้ถือหุ้นของบริษัทจำเลยที่ 1 และบริษัทในเครือสองบริษัทจะยอมดำเนินการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทในเครือทั้งสอง และยอมสละสิทธิการซื้อหุ้นเพิ่มทุนจดทะเบียนดังกล่าว เพื่อให้บริษัทจำเลยที่ 3 เข้ามาถือหุ้นในบริษัทในเครือทั้งสองในอัตราร้อยละ 25 ของทุนจดทะเบียนของบริษัทในเครือทั้งสองและยอมให้มีการโอนกิจการประกอบ ผลิต นำเข้าและขายส่งรถยนต์และชิ้นส่วนกับอะไหล่ยี่ห้อนิสสันที่บริษัทจำเลยที่ 1 กระทำอยู่ให้แก่บริษัทในเครือทั้งสองภายใต้เงื่อนไขต่างตอบแทนว่า บริษัทในเครือทั้งสองต้องมีหน้าที่และความผูกพันตลอดไปในการขายส่งรถยนต์และชิ้นส่วนกับอะไหล่ยี่ห้อนิสสันให้แก่บริษัทจำเลยที่ 1 ทั้งบริษัทจำเลยที่ 1 มีสิทธิตลอดไปในการเป็นผู้จัดจำหน่ายปลีกแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทยนอกจากนี้ยังมีการทำสัญญาร่วมทุนเพื่อยืนยันข้อตกลงตามข้อตกลงระหว่างผู้ถือหุ้นและบริษัทซึ่งโจทก์ที่ 1 เป็นผู้ลงนามในหลายฐานะ สาระสำคัญของสัญญามีว่า บริษัทจำเลยที่ 1 จะเป็นช่องทางการจัดจำหน่ายเพียงช่องทางเดียวของบริษัทในเครือทั้งสองโดยบริษัทจำเลยที่ 1 เป็นผู้จำหน่ายปลีก และมีการทำสัญญาอีก 2 ฉบับ คือ สัญญาโอนกิจการ เป็นการโอนกิจการ ประกอบ ผลิต นำเข้าและขายส่งรถยนต์นิสสันและชิ้นส่วนกับอะไหล่ที่บริษัทจำเลยที่ 1 กระทำอยู่ให้แก่บริษัทในเครือทั้งสองและสัญญาซื้อขาย เพื่อให้บริษัทในเครือทั้งสองขายส่งรถยนต์ยี่ห้อนิสสันและชิ้นส่วนกับอะไหล่ให้แก่บริษัทจำเลยที่ 1 แต่เพียงผู้เดียวตลอดไป ต่อมาจำเลยทั้งแปดร่วมกันกระทำการโดยไม่สุจริตและผิดสัญญา โดยบริษัทจำเลยที่ 2 งดเว้นไม่ขายส่งรถยนต์ยี่ห้อนิสสันและชิ้นส่วนกับอะไหล่ให้แก่บริษัทจำเลยที่ 1 และบอกเลิกสัญญาซื้อขายที่มีอยู่กับบริษัทจำเลยที่ 1 และบริษัทจำเลยที่ 1 งดเว้นไม่ดำเนินการฟ้องร้องบริษัทจำเลยที่ 2 และกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทจำเลยที่ 2 เพื่อบังคับให้บริษัทจำเลยที่ 2 ขายส่งรถยนต์ยี่ห้อนิสสันและชิ้นส่วนกับอะไหล่ให้แก่บริษัทจำเลยที่ 1 และเพื่อเรียกค่าเสียหายให้แก่บริษัทจำเลยที่ 1 ฐานผิดสัญญาข้อตกลงระหว่างผู้ถือหุ้นและบริษัทและสัญญาร่วมทุน และบริษัทจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ร่วมกันทำสัญญาจัดจำหน่ายให้สิทธิจำเลยที่ 2 ในการขายปลีกรถยนต์และชิ้นส่วนกับอะไหล่ยี่ห้อนิสสันโดยไม่ผ่านบริษัทจำเลยที่ 1 และให้สิทธิจำเลยที่ 2 มีสิทธิแต่งตั้งบุคคลใดเป็นตัวแทนจำหน่ายเพื่อขายปลีกรถยนต์และชิ้นส่วนกับอะไหล่ยี่ห้อนิสสันได้ด้วย จำเลยที่ 4 ถึงที่ 7 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทจำเลยที่ 1 และของบริษัทจำเลยที่ 2 และกับจำเลยที่ 8 กรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกระทำการดังกล่าวกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ด้วย โจทก์ทั้งเจ็ดจึงฟ้องคดีนี้ โดยระบุในคำฟ้องว่า โจทก์ทั้งเจ็ดในฐานะผู้ถือหุ้นของบริษัทจำเลยที่ 1 โจทก์ที่ 1 ในฐานะผู้ถือหุ้นของบริษัทจำเลยที่ 2 โจทก์ทั้งเจ็ดในฐานะคู่สัญญาในข้อตกลงระหว่างผู้ถือหุ้นและบริษัท และโจทก์ที่ 1 กับที่ 7 ในฐานะคู่สัญญาในสัญญาร่วมทุนขอใช้สิทธิฟ้องคดีนี้ เพื่อขอให้พิพากษาบังคับให้บริษัทจำเลยที่ 2 ขายส่งรถยนต์และชิ้นส่วนกับอะไหล่ยี่ห้อนิสสันทั้งหมดให้บริษัทจำเลยที่ 1 แต่เพียงผู้เดียวตลอดไป ขอให้พิพากษาเพิกถอนข้อสัญญาข้อ 19 และข้อ 20 ของสัญญาซื้อขายฉบับลงวันที่ 1 มีนาคม2534 กับขอให้เพิกถอนสัญญาจัดจำหน่ายฉบับลงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2538 หากไม่สามารถพิพากษาตามคำขอดังกล่าวได้ ขอให้พิพากษาเพิกถอนสัญญาโอนกิจการฉบับลงวันที่ 26 พฤศจิกายน 2533 ระหว่างบริษัทจำเลยที่ 1 และบริษัทจำเลยที่ 2 ให้บริษัทจำเลยที่ 2 จัดการโอนกิจการประกอบ ผลิต นำเข้าและขายส่งรถยนต์และชิ้นส่วนกับอะไหล่ยี่ห้อนิสสัน ตามสัญญาดังกล่าวคืนให้แก่จำเลยที่ 1 หากไม่สามารถพิพากษาเพิกถอนสัญญาโอนกิจการได้ให้จำเลยทั้งแปดร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งเจ็ดให้จำเลยทั้งแปดร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งเจ็ดเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 1ให้จำเลยทั้งแปดร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งเจ็ดเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 2โดยเป็นค่าเสียหายในรายการต่าง ๆ รวมทั้งค่าเสียหายเป็นค่าทนายความในการเตรียมคดีและดำเนินคดีนี้เป็นเงิน 7,500,000 บาท รวมเป็นค่าเสียหายที่โจทก์ทั้งเจ็ดขอมาตามคำฟ้องโดยถือเป็นทุนทรัพย์ในคดีนี้ เป็นเงินทั้งสิ้นจำนวน 10,202,883,687.20 บาท นั้นเห็นว่า คดีนี้ตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งเจ็ดบรรยายฟ้องอ้างว่า โจทก์ทั้งเจ็ดฟ้องคดีในฐานะโจทก์ทั้งเจ็ดเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทจำเลยที่ 1 และในฐานะโจทก์ที่ 1 เป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทจำเลยที่ 2 ขอบังคับให้คู่สัญญาตามสัญญาร่วมทุนปฏิบัติตามสัญญา และขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายกับสัญญาจัดจำหน่ายตามฟ้อง รวมทั้งเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งแปด การที่โจทก์ทั้งเจ็ดในฐานะผู้ถือหุ้นของบริษัทจำเลยที่ 1 ฟ้องคดีนี้ก็ดีหรือการที่โจทก์ที่ 1 ในฐานะผู้ถือหุ้นของบริษัทจำเลยที่ 1 ฟ้องคดีนี้ก็ดี จึงเป็นการใช้สิทธิฟ้องร้องดำเนินคดีแทนบริษัทที่โจทก์ทั้งเจ็ด และโจทก์ที่ 1 ตามลำดับ ถือหุ้นอยู่ การฟ้องร้องดำเนินคดีซึ่งมีผลกระทบถึงการขอบังคับบุคคลภายนอกบริษัทดังกล่าวเช่นนี้จึงเป็นการที่ผู้ถือหุ้นก้าวล่วงเข้าไปจัดการงานของบริษัทเสียเอง เมื่อตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งเจ็ดไม่ปรากฏว่าโจทก์ทั้งเจ็ดก็ดี โจทก์ที่ 1 ก็ดี มีอำนาจกระทำการแทนบริษัทจำเลยที่ 1 และบริษัทจำเลยที่ 2 ตามลำดับแต่อย่างไร โจทก์ทั้งเจ็ดในฐานะผู้ถือหุ้นของบริษัทจำเลยที่ 1 และโจทก์ที่ 1 ในฐานะผู้ถือหุ้นของบริษัทจำเลยที่ 2 จึงมีสิทธิเพียงควบคุมการดำเนินงานของบริษัทจำเลยทั้งสองดังกล่าวเพียงบางประการตามที่กฎหมายบัญญัติไว้เท่านั้น หาอาจก้าวล่วงเข้าไปจัดการงานของบริษัทเสียเองได้ไม่เมื่อตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งเจ็ดระบุว่ากรณีมีการละเมิดและผิดสัญญาต่อบริษัท แม้บริษัทที่โจทก์ทั้งเจ็ดและโจทก์ที่ 1 ถือหุ้นอยู่จะไม่ดำเนินการฟ้องร้องบุคคลภายนอกก็ดี โจทก์ทั้งเจ็ดและโจทก์ที่ 1 ก็หามีสิทธินำคดีมาฟ้องเองได้ไม่ ส่วนคำฟ้องของโจทก์ที่ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 4 ถึงที่ 7 ในฐานะกรรมการของจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 4 ถึงที่ 8 ในฐานะกรรมการของจำเลยที่ 2 ก็เป็นเรื่องที่สืบเนื่องจากปัญหาว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 จะถูกโจทก์ทั้งเจ็ดฟ้องร้องได้หรือไม่เสียก่อน แม้คำฟ้องที่โจทก์ทั้งเจ็ดฟ้องจะอ้างว่าเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 ถึงที่ 8 ซึ่งเป็นกรรมการบริษัทจำเลยที่ 1 ไม่บังคับตามสัญญา ทำให้จำเลยที่ 1 เสียหายแต่ตามคำขอของโจทก์ก็มิได้เรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 4 ถึงที่ 8 ในส่วนนี้โดยตรง กรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1169 โจทก์ทั้งเจ็ดจึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยดังกล่าวในข้อหานี้ด้วยส่วนที่โจทก์ทั้งเจ็ดบรรยายฟ้องต่อไปว่า โจทก์ทั้งเจ็ดได้ฟ้องคดีในฐานะเป็นคู่สัญญาในข้อตกลงระหว่างผู้ถือหุ้นและบริษัท และโจทก์ที่ 1 กับโจทก์ที่ 7 ในฐานะคู่สัญญาในสัญญาร่วมทุนด้วยก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาตามคำฟ้องและคำขอท้ายคำฟ้องแล้วโจทก์ทั้งเจ็ดเข้าทำสัญญาดังกล่าวโดยมีข้อตกลงในสาระสำคัญว่า ผู้ถือหุ้นของบริษัทจำเลยที่ 1 และของบริษัทในเครือทั้งสอง จะดำเนินการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทในเครือทั้งสองและยอมสละสิทธิการซื้อหุ้นเพิ่มทุนจดทะเบียนดังกล่าว การเข้าเป็นคู่สัญญาของโจทก์ในสัญญาร่วมลงทุนจึงหาเกี่ยวข้องกับข้อตกลงในทางการค้าระหว่างฝ่ายจำเลยตามที่โจทก์ทั้งเจ็ดฟ้องไม่การบรรยายฟ้องในฐานะคู่สัญญาดังกล่าวเป็นเพียงรายละเอียดและเป็นเรื่องที่สืบเนื่องรองลงมาจากคำขอในส่วนที่โจทก์ทั้งเจ็ดในฐานะผู้ถือหุ้นของบริษัทจำเลยที่ 1 กับโจทก์ที่ 1 ในฐานะผู้ถือหุ้นของบริษัทจำเลยที่ 2 ทั้งสิ้นคำฟ้องของโจทก์ทั้งเจ็ดจึงเป็นการอาศัยสิทธิในฐานะผู้ถือหุ้นของบริษัทมาก้าวล่วงฟ้องร้องคดีเพื่อบังคับบุคคลภายนอกบริษัทเป็นสำคัญ ซึ่งไม่อาจกระทำได้เพราะไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1169 โจทก์ทั้งเจ็ดจึงไม่มีอำนาจฟ้อง เมื่อคดีฟังว่าโจทก์ทั้งเจ็ดไม่มีอำนาจฟ้องแล้วกรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และจำเลยที่ 8 ข้อต่อไปที่ว่า กรณีมีเหตุจะต้องนำคดีนี้ไปดำเนินการทางอนุญาโตตุลาการก่อนหรือไม่แต่อย่างใดอีก ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นนั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และที่ 8ฟังขึ้นแม้จำเลยที่ 4 ถึงที่ 7 จะไม่ได้ฎีกาแต่มูลความแห่งคดีไม่อาจแบ่งแยกได้ ศาลมีอำนาจพิพากษาให้มีผลไปถึงจำเลยที่ 4 ถึงที่ 7 ได้”

พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งเจ็ด

Share