แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ปัญหาเรื่องการแปลงหนี้จากเช็คเป็นหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ใช่ข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความ สงบเรียบร้อยาของประชาชน เมื่อจำเลยไม่ยกขึ้นต่อสู้โดยชัดแจ้งจึงไม่เป็นประเด็นในคดี ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
จำเลยออกเช็คพิพาทมอบให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ แม้จำเลยจะไม่ได้ลงวันที่สั่งจ่ายในเช็ค แต่ก็เป็นเช็คที่จำเลยออกชำระหนี้ย่อมถือได้โดยปริยายว่าจำเลยยินยอมให้โจทก์ลงวันที่สั่งจ่ายได้เอง เมื่อไม่ได้ความว่าโจทก์ลงวันที่สั่งจ่ายโดยไม่สุจริต จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามเช็คจำนวน ๔ ฉบับเป็นเงิน ๑๕๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันผิดนัดจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นหนี้ค่าซื้อสินค้าโจทก์อยู่ ๑๕๐,๐๐๐ บาท เนื่องจากจำเลยไม่มีเงินชำระหนี้ โจทก์จึงให้จำเลยออกเช็คตามฟ้องซึ่งไม่ได้ลงวันที่สั่งจ่ายเป็นประกันการชำระหนี้ ต่อมาโจทก์ยอมลดหนี้ให้ ๕๐ เปอร์เซนต์ คงเหลือหนี้เพียง ๗๕,๐๐๐ บาท โดยโจทก์ได้ทำสัญญาให้กับจำเลยพร้อมทั้งภาพถ่ายเช็คทั้ง ๔ ฉบับดังกล่าวด้วยทั้งนี้เพื่อเป็นประกันว่าโจทก์จะไม่นำเช็คทั้ง ๔ ฉบับไปเรียกเก็บเงินจากธนาคาร ต่อมาจำเลยได้ชำระหนี้ ๗๕,๐๐๐ บาท ให้โจทก์ตามที่ทำสัญญากันไว้ครบถ้วนแล้ว แต่โจทก์ไม่คืนเช็คให้ หนี้ระหว่างโจทก์จำเลยระงับแล้ว อย่างไรก็ดีเช็คทั้ง ๔ ฉบับ จำเลยออกให้โจทก์ก็เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้เท่านั้น การที่โจทก์ลงวันที่ในเช็คทั้ง ๔ ฉบับเอาเองจึงไม่ใช่วันอันแท้จริงที่โจทก์จำเลยตกลงกันให้ลงในเช็ค เป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยเป็นหนี้ค่าซื้อผ้าโจทก์เป็นเงิน ๑๕๐,๐๐๐ บาทจำเลยออกเช็คพิพาทให้โจทก์ไว้โดยไม่ได้ลงวันที่สั่งจ่าย ต่อมาโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันตามเอกสารหมาย ล.๔ โดยโจทก์ลดหนี้ให้คงเหลือหนี้ ๗๕,๐๐๐ บาท แต่จำเลยยังไม่ได้ชำระหนี้จำนวนนี้ พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๗๕,๐๐๐ บาท ให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าที่โจทก์ชนะคดี กำหนดค่าทนายความ ๓,๐๐๐ บาท
จำเลยอุทธรณ์ว่า สัญญาประนีประนอมยอมความเอกสารหมาย ล.๔ แปลงหนี้จากหนี้ตามเช็คเป็นหนี้ตามสัญญา เช็คพิพาทจึงปราศจากมูลหนี้ จะให้จำเลยชำระหนี้ตามเช็คไม่ได้ จำเลยได้ชำระหนี้ตามสัญญาจำนวน ๗๕,๐๐๐ บาท ให้โจทก์แล้ว และโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ข้อเท็จจริงที่ไม่โต้เถียงกันรับฟังได้ว่า จำเลยติดต่อซื้อผ้าจากโจทก์อยู่หลายปีและได้ชำระหนี้ด้วยเช็คหลายฉบับ แต่เช็คบางฉบับโจทก์รับเงินไม่ได้ครั้งหลังสุดได้มีการคิดบัญชีกัน ปรากฏว่าจำเลยยังเป็นหนี้โจทก์อยู่ ๑๕๐,๐๐๐ บาท จำเลยได้ออกเช็คพิพาทโดยไม่ได้ลงวันที่สั่งจ่ายมอบให้โจทก์ไว้ และได้รับเช็คเก่าที่โจทก์รับเงินไม่ได้คืน หลังจากนั้นโจทก์ยอมลดหนี้ให้จำเลยเหลือเพียง ๗๕,๐๐๐ บาท ได้ทำบันทึกกันไว้ตามเอกสารหมาย ล.๔ ต่อมาโจทก์ลงวันที่สั่งจ่ายในเช็คพิพาททั้ง ๔ ฉบับนำไปเข้าบัญชีธนาคาร แต่ธนาคารผู้จ่ายปฏิเสธการจ่ายเงินโดยอ้างว่าบัญชีปิดแล้ว
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยยังมิได้ชำระหนี้จำนวน ๗๕,๐๐๐ บาท แก่โจทก์
วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ลดหนี้ให้จำเลยตามเอกสารหมาย ล.๔ เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ เท่ากับแปลงหนี้จากเช็คเป็นหนี้ตามสัญญาเช็คพิพาทจึงปราศจากมูลหนี้นั้น เห็นว่าจำเลยมิได้ให้การต่อสู้เรื่องการแปลงหนี้จากเช็คเป็นหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความแต่ประการใด ปัญหาดังกล่าวไม่ใช่ข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อจำเลยไม่ยกขึ้นสู้โดยชัดแจ้งจึงไม่เป็นประเด็นในคดีนี้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ปัญหาตามฎีกาจำเลยที่ว่า จำเลยออกเช็คพิพาทไม่ได้ลงวันที่สั่งจ่ายมอบให้โจทก์เพื่อประกันหนี้ โจทก์ไม่มีอำนาจลงวันที่สั่งจ่ายเอาเองนั้น เห็นว่าข้อที่จำเลยอ้างว่าออกเช็คพิพาทเพื่อประกันหนี้มีแต่คำเบิกความของจำเลยเท่านั้นตามคำเบิกความของจำเลยก็รับว่า จำเลยออกเช็คพิพาทมอบให้โจทก์แทนเช็คเดิมที่ออกชำระหนี้แก่โจทก์ ศาลฎีกาเชื่อตามข้อนำสืบของโจทก์ว่าจำเลยออกเช็คพิพาทมอบให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ แม้จำเลยจะไม่ได้ลงวันที่สั่งจ่ายในเช็คแต่ก็เป็นเช็คที่จำเลยออกชำระหนี้ ย่อมถือได้โดยปริยายว่าจำเลยยินยอมให้โจทก์ลงวันที่สั่งจ่ายได้เอง เมื่อไม่ได้ความว่าโจทก์ลงวันที่สั่งจ่ายโดยไม่สุจริต จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์
พิพากษายืน