แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
คนยามรถไฟร่วมคิดในการลักทรัพย์ที่บรรทุกมาในตู้รถ ได้ดูต้นทางในระหว่างขนสินค้าไปจากป่าข้างทางรถไฟและสับเปลี่ยนตู้รถไปเข้าทางเปลี่ยว ถือเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำในการลักทรัพย์
ย่อยาว
จำเลยที่ 2, 3 และ 5 เป็นคนยามรถไฟร่วมคิดกับผู้อื่นลักของที่บรรทุกมาในตู้รถสินค้า ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสามกับพวกมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 จำคุกคนละ 7 ปี จำคุกจำเลยที่ 10 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 5 ปี ริบเครื่องมือเปิดตู้รถไฟ ให้ใช้ทรัพย์ราคา 96,416 บาท ยกฟ้องจำเลยที่ 11 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ จำคุกจำเลยที่ 103 ปี ยกฟ้องจำเลยที่ 2, 3 และ 5 โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “มีปัญหาว่า นายพิน จำเลยที่ 2 นายเกลื้อมจำเลยที่ 3 และนายโสภณจำเลยที่ 5 ได้ร่วมกับจำเลยอื่น กระทำความผิดคดีนี้หรือไม่
พยานโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 มีนายธงชัยหรือบ่าว แก้วนพรัตน์กับนายตี๋ หรืออ้วน แซ่เอี๊ยะ นายธงชัยเบิกความว่าคืนเกิดเหตุ หลังจากขนสินค้าลงจากตู้เสร็จ นำไปวางไว้ที่ป่าหญ้าคาทางทิศตะวันออก ขณะนั้นจำเลยที่ 2 ที่ 3มาดู และตรวจนับสินค้า แล้วจำเลยที่ 2 ที่ 3 ก็ไปดูต้นทางในระหว่างขนสินค้าจากป่าหญ้าคาไปไว้บ้านของจำเลยที่ 1 นายตี๋เบิกความว่า เมื่อขนสินค้าไปถึงบ้านจำเลยที่ 1 เสร็จเรียบร้อยแล้วจึงเห็นจำเลยที่ 2 ที่ 3 มาตรวจนับสินค้าพยานทั้งสองนี้รู้จักและไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 2 ที่ 3 มาก่อน ไม่มีข้อน่าระแวงว่าจะปรักปรำแต่อย่างใด คำเบิกความของพยานทั้งสองจึงมีน้ำหนักน่าเชื่อ แม้พยานทั้งสองจะเบิกความแตกต่างกันในเรื่องสถานที่ที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 มาตรวจนับสินค้าก็ไม่เป็นข้อสำคัญ เพราะพยานต่างยืนยันว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 มาตรวจนับสินค้าที่ถูกลักไปด้วย นอกจากนี้นายธงชัยกับนายเงี๊ยบพยานโจทก์ก็เบิกความว่า คืนเกิดเหตุเวลาประมาณ 20 นาฬิกาซึ่งเป็นเวลาก่อนเกิดเหตุ พยานทั้งสองเห็นจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 5 และนายนิยมตุลาธร คุยกันอยู่ที่สถานีรถไฟ และเมื่อเห็นนายเงี๊ยบเข้ามาในสถานี จำเลยที่ 1กับพวกดังกล่าวก็รีบแยกจากกัน ซึ่งเป็นพิรุธแสดงว่ามีการวางแผนร่วมกันลักทรัพย์รายนี้มาก่อน ในชั้นสอบสวนจำเลยที่ 3 เองยังให้การรับว่า จำเลยที่ 1ซึ่งเป็นคนสำคัญมาถามว่ามีตู้สินค้าที่พ่วงมากับรถขบวนพิเศษหรือเปล่าคำถามดังกล่าว จำเลยที่ 3 ทราบดีว่าจำเลยที่ 1 ประสงค์จะทำการลักทรัพย์ในตู้สินค้า ซึ่งจำเลยที่ 3 เคยร่วมมาหลายครั้ง จำเลยที่ 3 มีหน้าที่เฝ้ายามรู้แล้วว่าจะมีการลักทรัพย์ แต่ก็ไม่ตรวจตราดูแลให้รอบคอบหรือนำความไปแจ้งต่อผู้บังคับบัญชาหรือเจ้าพนักงานตำรวจเป็นทำนองปล่อยให้จำเลยอื่นกระทำการลักทรัพย์ลับหลังตนก่อนเพื่อตัวเองอาจจะพ้นผิด ต่อมาภายหลังจำเลยที่ 2ที่ 3 จึงเพียงไปปรากฏตัวตรวจนับสินค้าดังกล่าว พฤติการณ์ทั้งหมดนี้แสดงว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้ร่วมวางแผนและคบคิดร่วมกับจำเลยอื่นมาแต่ต้น จึงเป็นข้อเท็จจริงที่เพียงพอรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้ร่วมกระทำความผิดรายนี้
สำหรับจำเลยที่ 5 นั้น มีพยานเกี่ยวข้องหลายปากได้ความจากนายทองดีผู้ช่วยนายสถานีว่าวันเกิดเหตุ ก่อนเกิดเหตุเวลาประมาณ 17 นาฬิกา มีรถสินค้าขบวนพิเศษเก็บรถตกค้างตามสถานีต่าง ๆ ตั้งแต่จังหวัดชุมพรลงมาประมาณ30 ตู้ มาถึงสถานีทุ่งสงที่เกิดเหตุมีบางตู้จะต้องตัดไว้ ที่เหลือจะได้เดินทางต่อไปสำหรับตู้ ตญ.150045 คันเกิดเหตุ ซึ่งพ่วงมาในขบวนจะต้องเดินทางต่อไปยังสถานีหาดใหญ่ จังหวัดสงขลานายทองดีจึงสั่งให้เวรผลัดจัดการตัดตู้และขบวนใหม่เป็นขบวนที่ 706 เที่ยวที่ 2 เวรผลัดคืนเกิดเหตุได้แก่นายสุรพงษ์ นครชัย หัวหน้ากับนายโสภณ จำเลยที่ 5 และนายนิยม ตุลาธร นายสุรพงษ์สั่งให้จำเลยที่ 5จัดการ โดยจำเลยที่ 5 ทำหน้าที่ตัดสับเปลี่ยน ปรากฏข้อเท็จจริงว่ารถตู้คันเกิดเหตุถูกตัดไปอยู่ที่รางรถไฟสายทุ่งสง – กันตัง ทางทิศใต้ของสถานี ซึ่งห่างไกล เป็นที่เปลี่ยว และไม่ใช่รางที่ตู้คันเกิดเหตุจะแล่นไปยังสถานีปลายทางของตู้นั้นจำเลยที่ 5 นี้ ได้ความว่า เป็นผู้มีความชำนาญตัดและสับเปลี่ยนรถ นอกจากนี้ยังได้ความจากนายธงชัย นายเงี๊ยบพยานว่าเห็นจำเลยที่ 5 คุยอยู่กับจำเลยที่ 3ที่ 1 และนายนิยม ตุลาธร ก่อนเกิดเหตุ ซึ่งเป็นพิรุธว่า สมคบกระทำความผิดดังกล่าวข้างต้น พฤติการณ์ทั้งหมดนี้แสดงว่า จำเลยที่ 5 ได้ร่วมวางแผน และคบคิดร่วมกับจำเลยอื่นกระทำความผิดนี้มาแต่ต้นโดยแบ่งหน้าที่กันทำด้วยเช่นกัน”
พิพากษาแก้ ลงโทษจำเลยที่ 2, 3 และ 5 ตามศาลชั้นต้น