คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1706/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ขายที่พิพาทซึ่งเป็นที่ดินมือเปล่าให้โจทก์แล้วส่งมอบการครอบครองให้ โจทก์ครอบครองตลอดมา เพียงแต่จะไปทำการโอนทางทะเบียนให้ในภายหลังเท่านั้น ต่อมาจำเลยที่ 1 กลับโอนที่พิพาทให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุตร จำเลยที่ 2 ได้ขายให้จำเลยที่ 3 ที่ 4 โดยจำเลยที่ 3 ที่ 4 ทราบว่าโจทก์ซื้อที่พิพาทจากจำเลยที่ 1 แล้ว โจทก์ย่อมฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนขายที่พิพาทระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 ที่ 4 ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ได้ทำหนังสือสัญญาขายที่นามือเปล่าเฉพาะส่วนที่เป็นสินบริคณห์ของตนให้โจทก์ 5 ไร่ (ทั้งแปลง 24 ไร่)และมอบการครอบครองให้โจทก์ จำเลยที่ 1 ได้รับเงินค่านา 15,000 บาทจากโจทก์ครบถ้วนแล้ว ตามสำเนาสัญญากู้ท้ายฟ้อง และรับรองว่าจะโอนทางทะเบียนแบ่งนาให้ตามที่โจทก์จะเรียกร้อง โจทก์เข้าครอบครองทำกินในที่นาดังกล่าวในฐานะเจ้าของโดยสงบ เปิดเผย และนำสำรวจเสียภาษีบำรุงท้องที่ตลอดมาทุกปี

ต่อมาเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2511 ด้วยเจตนาฉ้อโกงโจทก์ จำเลยที่ 1 ยินยอมให้จำเลยที่ 2 ผู้เดียวรับมรดกที่นาของนายโน้มผู้ตายหมดทั้งแปลง จำนวน 24 ไร่ รวมทั้งส่วนที่ขายให้โจทก์ด้วย แล้วโอนขายทางทะเบียนให้จำเลยที่ 3 ไป เป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบขอให้ห้ามมิให้จำเลยทั้งสามและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่นาของโจทก์ 5 ไร่เศษ ให้เพิกถอนการโอนที่นาเฉพาะส่วน 5 ไร่ของโจทก์และให้โอนทางทะเบียนให้โจทก์ หากจำเลยไม่ไปทำการโอน ให้ถือคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา

จำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้การว่า ที่พิพาทเป็นของนายโน้ม นายโน้มยกให้จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 ไม่เคยทำหนังสือสัญญาขายที่ดินให้โจทก์และไม่เคยกู้เงินโจทก์ 15,000 บาท เพียงแต่เคยกู้เงินโจทก์ 2,500 บาท ต่อมาค้างชำระดอกเบี้ยโจทก์จึงให้จำเลยทำสัญญากู้โจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นเป็นเงิน 6,000 บาท และให้โจทก์ทำนา 5 ไร่เศษต่างดอกเบี้ย เอกสารสัญญาซื้อขายและสัญญากู้ท้ายฟ้องปลอม

จำเลยที่ 3 ให้การและฟ้องแย้งว่าจำเลยที่ 3 ซื้อที่พิพาทไว้โดยสุจริต และเสียค่าตอบแทน ขอให้ยกฟ้องและพิพากษาว่าที่ดินเป็นของจำเลยที่ 3 หรือจำเลยที่ 3 มีสิทธิดีกว่าให้ขับไล่โจทก์และบริวารออกไปจากที่พิพาท ห้ามมิให้เกี่ยวข้อง

จำเลยร่วมเข้ามาเป็นจำเลยที่ 4 โดยขอให้ถือคำให้การของจำเลยที่ 3 เป็นคำให้การของจำเลยที่ 4

โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่พิพาท เพราะจำเลยที่ 1 สละสิทธิการครอบครองส่งมอบที่ดินให้โจทก์แล้ว การโอนระหว่างจำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นการฉ้อฉลและไม่สุจริตแม้จะเสียค่าตอบแทนก็ยังไม่ครบถ้วน จำเลยที่ 3 ใช้สิทธิไม่สุจริตจำเลยที่ 3 ยังไม่ได้ครอบครองที่พิพาทจึงยังไม่ได้สิทธิครอบครอง

ศาลชั้นต้นฟังว่า โจทก์ได้ซื้อที่พิพาทจากจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ปล่อยให้จำเลยที่ 2 โอนรับมรดกที่พิพาทผู้เดียว แล้วโอนขายให้จำเลยที่ 3 ที่ 4 ทั้ง ๆ ที่จำเลยที่ 3 ที่ 4 ทราบการซื้อขายของโจทก์อยู่ พิพากษาให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่นาระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 ที่ 4 เฉพาะที่พิพาท 5 ไร่เศษให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 โอนที่พิพาทให้โจทก์ หากไม่ไปโอน ให้ถือเอาคำพิพากษาแสดงเจตนาของจำเลย ห้ามจำเลยไม่ให้เกี่ยวข้องกับที่พิพาท

จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยทั้งสี่ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 3 ที่ 4 ทราบดีว่าโจทก์ได้ซื้อที่พิพาท 5 ไร่เศษไว้ก่อนแล้วมีการสอบถามและมีนายประดิษฐ์กำนันมารับรองว่า ก่อนจำเลยที่ 3 จะซื้อที่แปลงพิพาท ได้ไปสอบถามเนื้อที่นาต่อนายประดิษฐ์ นายประดิษฐ์บอกว่าจำเลยที่ 1 ขายให้โจทก์แล้ว 5 ไร่ คงเหลือ 19 ไร่ จำเลยมิได้นำสืบปฏิเสธความข้อนี้ การขอรับมรดกของจำเลยที่ 2 ก็ไม่มีการปิดประกาศ การซื้อขายระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 ที่ 4 ก็ไม่ได้ปิดประกาศ การชำระเงินก็มิได้ชำระครบถ้วนในวันทำสัญญาซื้อขายที่อำเภอ ศาลฎีกาเชื่อว่าจำเลยที่ 3 ที่ 4 ทราบดีว่าโจทก์ซื้อที่นาพิพาท 5 ไร่เศษไว้จึงยังไม่ชำระเงินให้ครบถ้วนในวันทำสัญญาซื้อขายการกระทำของจำเลยไม่สุจริต

พิพากษายืน

Share