คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1704-1705/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ขอยืมที่ดินของโจทก์เพื่อนำไปจำนองเป็นประกันเงินกู้ที่จำเลยที่ 1 กู้จากธนาคาร โจทก์จึงแบ่งแยกที่ดินของโจทก์ส่วนหนึ่งแล้วใส่ชื่อจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของโดยตกลงกันว่า เมื่อจำเลยที่ 1 ชำระหนี้ธนาคารหมดแล้วจะคืนที่ดินให้โจทก์เป็นการแสดงเจตนาลวง ที่ดินยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์อยู่จำเลยตกอยู่ในความผูกพันที่จะต้องโอนที่ดินคืนให้โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะเอาที่ดินไปขายให้ผู้อื่น
จำเลยที่ 2 ที่ 3 ซื้อที่ดินจากจำเลยที่ 1 โดย ทราบถึงการแสดงเจตนาลวงเป็นการรับโอนโดยไม่สุจริต โจทก์มีสิทธิขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้

ย่อยาว

โจทก์สำนวนแรกฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 4265 ตำบลบางขุนศรี อำเภอบางกอกน้อย จังหวัดธนบุรีเมื่อราวกลาง พ.ศ. 2499 จำเลยที่ 1 เดือดร้อนเรื่องเงิน ขอให้โจทก์ช่วยเหลือโดยขอยืมโฉนดที่ดินดังกล่าว 200 ตารางวา เพื่อนำไปจำนองเป็นประกันเงินกู้ที่จำเลยที่ 1 จะกู้จากธนาคารแห่งประเทศไทยในวงเงิน 50,000 บาท แต่โจทก์ต้องโอนใส่ชื่อจำเลยที่ 1 ในโฉนดก่อนโจทก์ตกลง จึงทำเป็นโอนขายที่ดิน 200 ตารางวา ให้จำเลยที่ 1ราคา 50,000 บาท โดยใส่ชื่อจำเลยที่ 1 ร่วมกับโจทก์ ความจริงโจทก์ไม่ได้รับเงินค่าที่ดินแล้วจำเลยที่ 1 นำไปจำนองไว้กับธนาคารแห่งประเทศไทย 50,000 บาท โดยแบ่งให้โจทก์ 30,000 บาท จำเลยที่ 1 เอาไว้ 20,000 บาท และจำเลยที่ 3 ทำสัญญาไว้ว่าจะโอนคืนที่ดินให้โจทก์เมื่อผ่อนชำระเงินให้ธนาคารแล้ว โจทก์จะคืนเงิน30,000 บาท ให้แก่จำเลยตามสำเนาสัญญาท้ายฟ้อง หมาย 1 โดยจำเลยที่ 2, 3 รู้เห็นเป็นพยานในสัญญา

ต่อมาธนาคารมีความประสงค์จะยึดถือโฉนด โจทก์กับจำเลยจึงแบ่งที่ดินออกเป็น 2 แปลง ๆ ที่โจทก์ให้จำเลยที่ 1 เป็นโฉนดที่ 4951เมื่อต้นปีนี้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้จำนองแก่ธนาคารหมดแล้ว จำเลยที่ 1กลับมีเจตนาไม่สุจริต สมคบกับจำเลยที่ 2, 3 โอนที่ดินนั้นให้แก่จำเลยที่ 2, 3 จึงขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสามส่งโฉนดที่ดินพิพาทที่ 4951 ต่อพนักงานที่ดินจังหวัดธนบุรี แล้วโอนที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 2, 3 ให้โจทก์ และรับเงิน 30,000 บาทไปจากโจทก์หากจำเลยไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย

จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยซื้อที่ดินของโจทก์ 200 ตารางวาราคา 50,000 บาท เมื่อจำเลยชำระเงินกู้ให้ธนาคารแล้ว จำเลยบอกขายที่ดินให้โจทก์และบุคคลอื่น ไม่มีใครซื้อ จึงขายให้จำเลยที่2, 3 โดยสุจริต และมีค่าตอบแทนและจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดิน

จำเลยที่ 2, 3 ให้การว่า ได้ซื้อที่พิพาทไว้โดยสุจริต เปิดเผยเสียค่าตอบแทนและได้จดทะเบียนการโอนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว

จำเลยทั้งสามยังได้ให้การปฏิเสธด้วยว่า เอกสารหมาย 1ท้ายฟ้องไม่มี เป็นเอกสารปลอม แม้จะฟังว่าเป็นเอกสารที่จำเลยที่ 1ทำขึ้น เป็นคำมั่นก็หาผูกพันจำเลยที่ 2, 3 ไม่ เพราะโจทก์ใช้สิทธิจะซื้อที่ดินพิพาทเกินกำหนด 6 ปี นับแต่วันทำเอกสาร จำเลยที่ 1บอกเลิกและปฏิเสธคำมั่นแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลย ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ โจทก์เป็นหญิงมีสามีไม่มีอำนาจฟ้อง

โจทก์สำนวนที่สองฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 4951 โดยซื้อจากนายสมาน กองทอง เมื่อจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กันแล้วจึงทราบว่าจำเลยและบริวารอาศัยอยู่ในบ้านเลขที่ 455/2 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินพิพาทโดยไม่มีสิทธิ ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยและบริวารขนย้ายออกไปจากบ้านและที่ดินพิพาทและชำระค่าเสียหาย

จำเลยให้การว่า บ้านเลขที่ 455/2 เป็นกรรมสิทธิ์ของนางพิกุลสุวรรณชาติ ซึ่งมีสิทธิจะอยู่ในที่ดินแปลงนี้ได้ ตามสัญญาซึ่งนางพิกุลทำไว้กับนายสมาน โจทก์ทราบดีอยู่แล้วจึงต้องรับสิทธิต่าง ๆตามสัญญาด้วย ทั้งจำเลยเป็นผู้เฝ้าบ้านและที่ดินพิพาทไม่มีสิทธิรื้อบ้านพิพาทได้ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลย

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิจารณาพิพากษาคดีทั้ง 2 สำนวนนี้รวมกัน ให้เรียกโจทก์ในสำนวนแรกและจำเลยในสำนวนที่สองว่าโจทก์และเรียกจำเลยในสำนวนแรกและโจทก์ในสำนวนหลังว่าจำเลยและพิพากษาให้เพิกถอนการซื้อขายที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2, 3 และให้โอนใส่ชื่อนางพิกุลโจทก์ในโฉนดที่ดินพิพาทและให้จำเลยที่ 1 รับเงิน 30,000 บาทจากโจทก์ ถ้าไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย ให้ยกฟ้องสำนวนที่สอง

จำเลยในสำนวนแรกและโจทก์ในสำนวนที่สองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยในสำนวนแรกและโจทก์ในสำนวนที่สองฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 มิใช่ผู้ซื้อที่ดินพิพาทจากโจทก์จริง ๆ การโอนที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้กระทำขึ้นโดยเจตนาลวง เพื่อให้จำเลยที่ 1 ยืมที่ดินพิพาทไปจำนองธนาคารเท่านั้น ไม่มีความประสงค์ให้ผูกพันกัน จึงใช้บังคับระหว่างกันไม่ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 118 ที่ดินพิพาทยังเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์อยู่จำเลยที่ 1 ตกอยู่ในความผูกพันที่จะต้องโอนที่ดินพิพาทคืนให้โจทก์ ไม่มีสิทธิที่จะเอาที่ดินพิพาทไปขายให้จำเลยที่ 2 ที่ 3

ส่วนจำเลยที่ 2 ได้ลงชื่อเป็นพยานในเอกสารหมาย จ.1 ซึ่งระบุไว้ว่า จำเลยที่ 1 จะต้องโอนที่ดินพิพาทคืนให้โจทก์ ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นการเพียงพอที่ถือว่าจำเลยที่ 2 ทราบการแสดงเจตนาลวงระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 3 เป็นภรรยาของจำเลยที่ 2 ย่อมทราบการแสดงเจตนาลวงนั้นด้วย การที่จำเลยที่ 2 ที่ 3รับโอนที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 เป็นการรับโอนโดยไม่สุจริตโจทก์มีสิทธิขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1กับจำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้ และจำเลยที่ 2 ที่ 3 ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จ่าสิบเอกทวีซึ่งอยู่ในที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิโจทก์

พิพากษายืน

Share