แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ป.วิ.อ. มาตรา 134 ทวิ ซึ่งเป็นบทบัญญัติขณะเกิดเหตุ บัญญัติให้ต้องมีทนายความเฉพาะกรณีสอบสวนผู้ต้องหาซึ่งเป็นเยาวชนอายุไม่เกิน 18 ปี เท่านั้น มิได้บัญญัติรวมถึงชั้นจับกุมด้วย การที่จำเลยอ้างว่าบันทึกการจับกุมไม่ชอบเพราะจำเลยมิได้ลงลายมือชื่อในบันทึกการจับกุมต่อหน้าทนายความนั้นฟังไม่ขึ้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 (ที่ถูก มาตรา 32), 83, 91 นับโทษจำเลยต่อกับโทษจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 338/2545 ของศาลชั้นต้น ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ขณะกระทำความผิดจำเลยอายุ 14 ปีเศษ ลดมาตราส่วนโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 กึ่งหนึ่ง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษ ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 2 ปี 6 เดือน ฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุก 2 ปี 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุม ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้กระทงละหนึ่งในสาม ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 1 ปี 8 เดือน ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีน จำคุก 1 ปี 8 เดือน รวมจำคุก 2 ปี 16 เดือน อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2534 มาตรา 104 (2) ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งจำเลยไปฝึกและอบรมยังสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดนครสวรรค์ มีกำหนด 1 ปี นับแต่วันมีคำพิพากษา ริบของกลาง ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษของจำเลยต่อกับโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 338/2545 ของศาลชั้นต้นนั้น คดีดังกล่าวจำเลยได้รับการฝึกอบรมครบกำหนดและได้รับการปล่อยตัวแล้ว จึงไม่อาจนับโทษต่อได้ (ที่ถูก ไม่อาจนับให้ได้) ยกคำขอในส่วนนี้
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง (เดิม), 66 วรรคหนึ่ง (ที่แก้ไขใหม่) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่ละบทมีโทษเท่ากัน จึงให้ลงโทษฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ลดมาตราส่วนโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 กึ่งหนึ่งแล้ว จำคุก 2 ปี และเมื่อลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสามแล้ว คงจำคุก 1 ปี 4 เดือน ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งจำเลยไปฝึกและอบรมมีกำหนด 1 ปี นับแต่วันควบคุม ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า “…ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้เป็นยุติว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยและยึดเมทแอมเฟตามีน 33 เม็ด ได้เป็นของกลาง จำเลยฎีกาว่า การที่เจ้าพนักงานตำรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีน 27 เม็ด บรรจุขวดอยู่ในกระเป๋าเสื้อที่นายชูชาติ บุญสะอาด ทิ้งไว้ ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยมีส่วนร่วมครอบครองเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวด้วย แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยไว้ในคำพิพากษาแล้วว่า เมทแอมเฟตามีน 27 เม็ด ของกลางไม่ได้ตรวจค้นพบที่ตัวจำเลย พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบฟังไม่ได้ว่าจำเลยร่วมกับนายชูชาติ บุญสะอาด มีเมทแอมเฟตามีน 27 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยในส่วนนี้ คดีคงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยร่วมกับพวกกระทำความผิดฐานจำหน่ายและมีเมทแอมเฟตามีน 6 เม็ด ของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 หรือไม่ เห็นว่า จ่าสิบตำรวจกมล รื่นรวย และสิบตำรวจตรีบัณฑิต เดินไพร ผู้ร่วมจับกุมเบิกความเป็นใจความตรงกันว่า สืบทราบว่าบริเวณบ้านที่เกิดเหตุมีการลักลอบจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจึงวางแผนล่อซื้อจับกุมโดยเฉพาะสิบตำรวจตรีบัณฑิตปลอมตัวไปกับสายลับนำธนบัตรที่จ่าสิบตำรวจกมลเซ็นชื่อเป็นตำหนิไปขอซื้อเมทแอมเฟตามีน 6 เม็ด ราคาเม็ดละ 70 บาท จากนายชูชาติ ขณะอยู่ที่ใต้ต้นมะขามกับจำเลยบริเวณหลังบ้านที่เกิดเหตุ สิบตำรวจตรีบัณฑิตส่งธนบัตรให้นายชูชาติแล้วจำเลยหยิบเมทแอมเฟตามีน 6 เม็ด จากกระเป๋ากางเกงจำเลยส่งให้สิบตำรวจตรีบัณฑิตตามที่นายชูชาติสั่ง สิบตำรวจตรีบัณฑิตและสายลับนำเมทแอมเฟตามีนที่ได้ไปมอบให้จ่าสิบตำรวจกมลกับพวกที่ซุ่มคอยอยู่ตามที่นัดแนะ จากนั้นพากันเข้าไปยังที่เกิดเหตุจับกุมจำเลยได้ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันนั้นเอง พยานโจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติการตามหน้าที่เบิกความสอดคล้องทั้งตรงกันกับข้อเท็จจริงที่ระบุในบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ. 1 ซึ่งจัดทำขึ้นในช่วงเวลาที่เกิดเหตุ โดยไม่ปรากฏว่าพยานโจทก์ทั้งสองเคยรู้จักหรือมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ไม่มีเหตุให้ระแวงว่าจะมาปรักปรำจำเลย คำเบิกความพยานโจทก์น่าเชื่อถือ ส่วนที่จำเลยนำสืบว่านายสายัณห์ คันธมาศ เป็นผู้จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้สิบตำรวจตรีบัณฑิตนั้นเป็นคำเบิกความลอย ๆ ของจำเลยและนางเรณู บัวผัน มารดาจำเลยซึ่งอ้างว่าทราบมาจากจำเลยไม่มีพยานอื่นสนับสนุน พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมามีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้ว่า จำเลยร่วมกับพวกกระทำความผิดฐานจำหน่ายและมีเมทแอมเฟตามีน 6 เม็ด ของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 พยานหลักฐานจำเลยไม่อาจหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ ข้อที่อ้างว่าบันทึกการจับกุมไม่ชอบเพราะจำเลยมิได้ลงลายมือชื่อในบันทึกการจับกุมต่อหน้าทนายความนั้น เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134 ทวิ ซึ่งเป็นบทบัญญัติขณะเกิดเหตุ บัญญัติให้ต้องมีทนายความเฉพาะกรณีสอบสวนผู้ต้องหาซึ่งเป็นเยาวชนอายุไม่เกิน 18 ปีเท่านั้น มิได้บัญญัติรวมถึงชั้นจับกุมด้วย ส่วนที่เจ้าพนักงานตำรวจมิได้ติดตามเอาตัวผู้ต้องหาอื่นมาดำเนินคดีก็ดี มิได้ทำบันทึกการจับกุมผู้ต้องหาอื่นพร้อมจำเลยก็ดี ไม่เป็นข้อพิรุธบ่งชี้ว่าจำเลยมิได้กระทำความผิด บันทึกการจับกุมระบุชื่อผู้ต้องหาอื่นรวมทั้งนางเรณูมารดาจำเลยที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดเป็นเรื่องซึ่งอยู่ในความรู้เห็นเฉพาะตัวของจำเลย ยากที่เจ้าพนักงานตำรวจจะแต่งเรื่องจัดทำขึ้นเองได้ น่าเชื่อว่าจำเลยให้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพฤติการณ์กระทำความผิดไว้เองตามความเป็นจริง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน