คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 170/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ยื่นคำร้องขอเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทขอให้ศาลสั่งแสดงว่าที่ดินมีโฉนดเป็นกรรมสิทธิของโจทก์โดยการครอบครอง จำเลยยื่นคำคัดค้านเถียงกรรมสิทธิ์ ศาลชั้นต้นสั่งดำเนินคดีอย่างมีข้อพิพาทแย่งกรรมสิทธิ์ที่ดิน และได้เรียกค่าธรรมเนียมจากโจทก์ครบถ้วนแล้ว ดังนี้ถือได้ว่า โจทก์ได้ฟ้องเรียกที่พิพาทจากจำเลย เมื่อศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี ศาลจะมีคำสั่งให้ขับไล่จำเลยก็ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแอพ่ง มาตรา 142 (1) หาเป็นการเกินคำขอไม่

ย่อยาว

โจทก์ยื่นคำร้องว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ ๗๔๖๑ เดิมเป็นกรรมสิทธิ์ของนายแทน นางเทียบ นายแทนนางเทียบได้ถวายที่ดินแปลงนี้แก่โจทก์ โจทก์ได้ครอบครองเป็นเจ้าของมาโดยสงบเปิดเผยเป็นเวลาประมาณ ๔๐ ปีแล้ว จึงขอให้ศาลแสดงว่าที่ดินแปลงนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์
นางแสวงยื่นคำร้องคัดค้านว่าที่ดินโฉนดที่ ๗๔๖๑ ไม่ใช่เป็นกรรมสิทธิ์ของนายแทนนางเทียบ ความจริงเป็นของพระยาสุรินทรฯ พระยาสุรินทรฯ รับซื้อฝากจากนายแทนนางเทียบ แล้วพระยาสุรินทรฯ ขายให้นายเข่งบิดาผู้ร้องคัดค้าน นายเข่งได้เข้าครอบครองโดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ เมื่อผู้ร้องคัดค้านอายุได้ ๘ ปี นายเข่งบิดาได้ยกที่ดินแปลงนี้ให้ผู้คัดค้าน ผู้คัดค้านจึงเข้าครอบครองโดยสงบและเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของและปลูกบ้านในที่นี้หนึ่งหลัง ขอให้ยกคำร้องของผู้ร้องเสีย
ศาลชั้นต้นดำเนินคดีอย่างคดีมีข้อพิพาท เรียกผู้ร้องว่าโจทก์ ผู้คัดค้านว่าจำเลยและฟังข้อเท็จจริงว่า นายแทนนางเทียบ ได้ยกที่พิพาทให้โจทก์ โจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์โดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมากว่า ๑๐ ปีแล้ว ที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ จำเลยปลูกเรือนอยู่ในฐานะอาศัยโจทก์ พิพากษาว่าที่ดินโฉนดที่ ๗๔๖๑ เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ให้จำเลยออกจากที่พิพาท ห้ามมิให้จำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องต่อไป
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาเกินคำขอของโจทก์ คือให้โจทก์ขอให้ศาลสั่งแสดงว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์เท่านั้น แต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาขับไล่จำเลยด้วย เป็นการไม่ชอบนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้จำเลยเถียงกรรมสิทธิ์ และศาลชั้นต้นสั่งดำเนินคดีอย่างมีข้อพิพาท แย่งกรรมสิทธิ์ที่ดินโดยได้เรียกค่าธรรมเนียมจากโจทก์ครบถ้วนแล้ว จึงถือได้ว่าโจทก์ได้ฟ้องเรียกที่พิพาทจากจำเลย เมื่อศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี ศษลจะมีคำสั่งให้ขับไล่จำเลยก็ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ (๑) คำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว พิพากษายืน

Share