คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1699/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การแสดงเจตนาลวงที่จะตกเป็นโมฆะ จะต้องเป็นการแสดงเจตนาที่ทำขึ้นโดยความประสงค์ร่วมกันของคู่กรณีทั้งสองฝ่าย ที่จะไม่ให้ผูกพันกัน หรืออีกนัยหนึ่ง จะต้องปรากฏว่ามีการสมรู้กันระหว่างคู่กรณีในการแสดงเจตนาลวงนั้น
กรณีที่จะเกิดมีนิติกรรมอำพรางขึ้นนั้น จะต้องเนื่องมาจากการที่บุคคลสองฝ่ายตกลงจะทำนิติกรรมอันหนึ่ง แต่กลับแสร้งทำเป็นนิติกรรมอีกอันหนึ่ง เพื่อปกปิดหรืออำพรางนิติกรรมที่ทั้งสองฝ่ายตกลงจะทำกันโดยเจตนาอันแท้จริง จึงให้บังคับกันตามนิติกรรมที่ถูกอำพรางซึ่งเป็นเจตนาอันแท้จริงของคู่กรณี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้เงินไปแล้วไม่ชำระ จึงได้ทำหนังสือประนีประนอมยอมความรับว่าเป็นหนี้เงินกู้โจทก์ ขอผ่อนชำระเป็นงวด หากผิดนัดงวดใดถือว่าผิดนัดหมดทุกงวด ครั้นถึงกำหนดชำระงวดแรก จำเลยก็เพิกเฉย จึงขอให้ศาลบังคับ

จำเลยให้การว่า โจทก์นำเงินมาลงทุนกิจการทิมแลนด์ร่วมกับนายเติมและหุ้นส่วนอื่น ๆ โดยโจทก์ จำเลยและนายเติมรู้กันว่าหากมีการขาดทุนเมื่อใดจำเลยและนายเติมจะต้องหาทางหักเงินจากรายได้ในกิจการทิมแลนด์มาใช้ให้แก่โจทก์แล้วจึงแบ่งผลประโยชน์กัน นายเติมมีคดีต้องหนีออกนอกประเทศโจทก์จึงได้มาทำสัญญาเป็นเจตนาลวงโดยสมรู้กับจำเลย ต่อมาการดำเนินการในทิมแลนด์ขาดทุน โจทก์จึงขอให้จำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้ขึ้นอีกฉบับหนึ่งเป็นการอำพรางนิติกรรมสัญญาเดิม เพื่อให้หุ้นส่วนอื่นไม่ระแวงสงสัยนิติกรรมทั้งสองฉบับจึงตกเป็นโมฆะ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินโจทก์พร้อมดอกเบี้ย

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ได้ให้นางเจียรกู้เงินไป โดยโจทก์ทราบว่านางเจียรกู้ให้นายเติม แล้วนายเติมหนีไปต่างประเทศ โจทก์จึงติดต่อกับนางเจียรให้จัดการเรื่องเงินที่กู้ไป นางเจียรจึงได้พาจำเลยไปทำสัญญากู้กับโจทก์ จำเลยไม่ชำระดอกเบี้ย โจทก์จึงทวงถามจำเลยในที่สุดก็ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับที่โจทก์นำมาฟ้อง ศาลฎีกาเห็นว่า การแสดงเจตนาลวงที่จะตกเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 118 วรรคแรกนั้น จะต้องเป็นการแสดงเจตนาที่ทำขึ้นโดยความประสงค์ร่วมกันของคู่กรณีทั้งสองฝ่ายที่จะไม่ให้ผูกพันกันหรืออีกนัยหนึ่ง จะต้องปรากฏว่ามีการสมรู้กันระหว่างคู่กรณีในการแสดงเจตนาลวงนั้น เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้สมรู้หรือตกลงกับจำเลยว่า สัญญากู้ที่ขึ้นจะไม่มีผลผูกพันกันจริงจังระหว่างโจทก์กับจำเลยสัญญากู้ที่จำเลยทำให้โจทก์ก็ไม่อาจถือได้ว่าได้กระทำขึ้นโดยการแสดงเจตนาลวงส่วนกรณีที่จะเกิดมีนิติกรรมอำพรางขึ้นนั้น จะต้องเนื่องมาจากการที่บุคคลสองฝ่ายตกลงจะทำนิติกรรมอันหนึ่ง แต่กลับแสร้งทำเป็นนิติกรรมอีกอันหนึ่งเพื่อปกปิดหรืออำพรางนิติกรรมที่ทั้งสองฝ่ายตกลงจะทำกันโดยเจตนาอันแท้จริง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 118 วรรคสอง จึงให้บังคับกันตามนิติกรรมที่ถูกอำพรางซึ่งเป็นเจตนาอันแท้จริงของคู่กรณีรูปคดีน่าเชื่อว่า เมื่อโจทก์ไม่ได้รับชำระดอกเบี้ยตามสัญญากู้ จึงประสงค์จะเร่งรัดให้จำเลยชำระหนี้ และเพื่อให้เป็นหลักฐานผูกมัดจำเลยอีกชั้นหนึ่ง จึงได้ให้จำเลยไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความ หาใช่เป็นกรณีที่โจทก์ได้ตกลงกับจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นการอำพรางสัญญากู้ไม่

พิพากษายืน

Share