แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า  จำเลยบังอาจเข้าครอบครองที่ดินของรัฐในทุ่งเขาหน้าวัวซึ่งทางราชการสงวนไว้สำหรับให้ราษฎรใช้เลี้ยงสัตว์  โดยเข้าไปแผ้วถางปลูกพืชผลแล้วครอบครองที่ดิน  โดยไม่มีสิทธิครอบครองและไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน  กับทั้งระบุถึงวันเดือนปีและที่เกิดเหตุอันเป็นการระบุครบองค์ความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน  มาตรา  9 และ 108 นั้น  เมื่อจำเลยรับว่าจำเลยเข้าครอบครองที่ดินรกร้างว่างเปล่าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน  แม้ทางพิจารณาจะไม่ได้ความว่าเป็นที่ดินซึ่งทางราชการสงวนไว้สำหรับให้ราษฎรใช้เลี้ยงสัตว์  ก็ลงโทษจำเลยตามฟ้องได้  เพราะความตอนนี้เป็นเพียงรายละเอียด  ไม่ใช่ส่วนขององค์ความผิด
เมื่อกฎหมายห้ามเข้าครอบครองที่ดินโดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ฉะนั้น  ถ้าผู้ใดครอบครองที่ดินอยู่ก็ย่อมเป็นการกระทำอันฝ่าฝืนกฎหมาย  และเป็นความผิดอยู่ทุกขณะที่ทำการครอบครอง  คดีจึงไม่ขาดอายุความ
ย่อยาว
คดี ๗ สำนวนนี้  ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกันมา  โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้ง ๗ สำนวนครอบครองที่ดินของรัฐซึ่งเป็นที่ดินที่มีประกาศของทางราชการสงวนไว้สำหรับให้ราษฎรใช้เป็นที่เลี้ยงสัตว์  โดยจำเลยมิได้มีสิทธิครอบครองและไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่  ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา ๙, ๑๐๘
จำเลยทั้ง ๗ สำนวนให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทุกคนมีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา ๙, ๑๐๘  ปรับคนละ ๕๐๐ บาท
จำเลยทุกคนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า  ประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา ๙  ห้ามมิให้ผู้ใดเข้าไปยึดถือหรือครอบครองที่ดินอันเป็นของรัฐ  โดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่  ถ้าผู้ใดฝ่าฝืนก็เป็นความผิดตามมาตรา ๑๐๘  และมาตรา ๒  บัญญัติว่า  ที่ดินซึ่งมิได้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของบุคคลหนึ่งบุคคลใด  ให้ถือว่าเป็นของรัฐ  ฉะนั้น  ที่ดินรกร้างว่างเปล่าหรือที่ดินซึ่งทางราชการสงวนไว้สำหรับราษฎร  ก็เป็นที่ดินของรัฐเช่นเดียวกัน  และการเข้ายึดถือหรือครอบครองที่ดินของรัฐ  ก็มีบทห้ามและบทลงโทษแต่เฉพาะมาตรา ๙ และ ๑๐๘   ไม่ใช่มีบทห้ามและบทลงโทษเกี่ยวกับที่ดินของรัฐแต่ละประเภท  ทั้งไม่มีบทกำหนดโทษไว้แตกต่างกัน  คดีนี้  โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบังอาจเข้าครอบครองที่ดินของรัฐในทุ่งเขาหน้าวัวโดยเข้าไปแผ้วถางปลูกพืชผลแล้วครอบครองที่ดินโดยไม่มีสิทธิครอบครองและไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน  กับทั้งระบุถึงวันเดือนปีและที่เกิดเหตุ  คำฟ้องดังกล่าวเป็นการระบุครบองค์ความผิดตามประมวลกฎหมายทีดินมาตรา ๙ และ ๑๐๘  และมีรายละเอียดเพียงพอที่ถูกต้องตามกฎหมาย  คำฟ้องของโจทก์เท่าที่กล่าวนี้ย่อมเป็นคำฟ้องที่รับพิจารณาลงโทษจำเลยได้  จำเลยรับว่าที่ซึ่งจำเลยเข้าครอบครองเป็นที่รกร้างว่างเปล่าและจำเลยเข้าครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน  ตามคำรับของจำเลยจึงเท่ากับรับว่าที่ซึ่งโจทก์ฟ้องเป็นของรัฐ  และจำเลยเข้าครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่อันเป็คำรับตามคำฟ้องของโจทก์  ดังที่วินิจฉัยมาแล้ว  แม้ทางพิจารณาจะไม่ได้ความว่าเป็นทั้งที่ดินที่มีประกาศของทางราชการสงวนไว้สำหรับให้ราษฎรใช้เป็นที่เลี้ยงสัตว์  ก็ลงโทษจำเลยตามฟ้องได้  เพราะความตอนนี้เป็นเพียงรายละเอียดเพิ่มขึ้น  ไม่ใช่ส่วนขององค์ความผิดและไม่กระทบกระเทือนแปรเปลี่ยนฟ้องตอนอื่นของโจทก์  แม้โจทก์จะไม่กล่าวความตอนนี้  ฟ้องโจทก์ก็สมบูรณ์
แต่ที่ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยว่าฟ้องของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่  ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยให้เสร็จไปในขั้นนี้  ประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา ๙ ตอนต้นกับอนุมาตรา (๑) พึงแยกข้อความได้ว่า  ห้ามมิให้ผู้ใดเข้าไปยึดถือ  ห้ามมิให้ผู้ใดครอบครอง   รวมตลอดทั้งห้ามการก่อสร้างหรือเผาป่า  กฎหมายไม่ได้ใช้คำว่า  เข้าไปยึดถือครอบครอง  ซึ่งจะทำให้เข้าใจคำว่าเข้าไป  นั้น  ใช้ประกอบทั้งยึดถือและครอบครอง  คำว่าเข้าไปยึดถือ  และคำว่า  ครอบครอง  จึงเป็นข้อความแยกต่างหากจากกัน  ฉะนั้น  ถ้าผู้ใดครอบครองที่ดินอยู่  ก็ย่อมเป็นการกระทำอันฝ่าฝืนกฎหมาย  และเป็นความผิดอยู่ทุกขณะที่ทำการครอบครอง  จำเลยก็รับอยู่ว่าจำเลยยังคงครอบครองที่ดินอยู่ตลอดมา  ฟ้องของโจทก์จึงยังไม่ขาดาอายุความ
พิพากษากลับ  ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

