แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
กรณีที่ผู้มีสัญชาติไทยเพราะเกิดในราชอาณาจักรแต่บิดาเป็นคนต่างด้าว กระทำผิด พ.ร.บ.วิทยุสื่อสารฯโดยบังอาจมี,ตั้งและใช้เครื่องส่งและรับวิทยุติดต่อกับต่างประเทศนั้น เป็นการกระทำอันเป็นเหตุที่ศาลจะสั่งให้ถอนสัญชาติไทยได้
มาตรา 7 แห่ง พ.ร.บ.สัญชาติซึ่งแก้ไข เป็นเรื่องเกี่ยวแก่การได้สัญชาติโดยการเกิดหาได้หมายถึงเรื่องที่จะสั่งถอนสัญชาติตามมาตรา 16 แห่ง พ.ร.บ.สัญชาติไม่.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นบุตรนายจี นางกิม ซึ่งเป็นบุคคลเชื้อชาติกวางตุ้ง สัญชาติจีน จำเลยเกิดที่ตำบลเชียงกง อำเภอสัมพันธวงศ์ จังหวัดพระนคร เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๔๕๙ จำเลยจึงเป็นผู้มีสัญชาติไทยเพราะเกิดในราชอาณาจักร เมื่อจำเลยอายุประมาณ ๑๓-๑๖ ปี ได้ไปอยู่ในประเทศจีนติดต่อกันตลอดมา และนับแต่บรรลุนิติภาวะแล้ว จำเลยอยู่ในประเทศจีนเกินกว่า ๑๐ ปี ได้เรียนหนังสือจีนและทำงานในกองทหารของรัฐบาลจีนในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง แสดงว่าจำเลยยังคงถือเอาสัญชาติจีนอันเป็นสัญชาติแห่งบิดามารดาเป็นสัญชาติตน เมื่อกลับเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรแล้ว จำเลยได้กระทำผิดต่อ พ.ร.บ. วิทยุสื่อสาร ๒๔๗๘ เป็นการขัดต่อผลประโยชน์ของชาติ โดยรัฐบาล(กรมไปรษณีย์ฯ)เสียหายขาดรายได้(เท่าที่พบหลักฐาน)เป็นเงิน ๒๐,๐๖๓.๔๐ บาท นอกจากนี้การกระทำของจำเลยยังเป็นภยันตรายต่อความปลอดภัยของรัฐและเป็นการขัดต่อสิทธิประเทศที่จะปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการวิทยุสื่อสารและที่จะปฎิบัติตามข้อตกลงระหว่างประเทศ ทั้งยังเป็นการขัดต่อความสุขเกษมและความเจริญแห่งสาธารณชน ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะถือเอาสัญชาติไทย ควรให้ถือสัญชาติจีนตามเชื้อชาติเดิมของจำเลย ขอให้พิพากษาสั่งถอนสัญชาติไทยของจำเลยเสียตามความใน พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ.๒๔๙๕ มาตรา ๑๖ ให้สั่งประกาศคำสั่งถอนสัญชาติไทยของจำเลยในราชกิจจาฯ
จำเลยให้การว่า เมื่อยังเป็นเด็กเคยไปอยู่ประเทศจีน แต่ภายหลังที่บรรลุนิติภาวะแล้วไม่เคยไปอยู่ติดต่อกันเกินกว่า ๑๐ ปี ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองติดอยู่ที่ประเทศจีนกลับประเทศไทยไม่ได้ เพราะการผิดพรมแดนและภัยแห่งสงครามซึ่งไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ สงครามยุติแล้วจึงกลับประเทศไทยอยู่ตลอดมาจนบัดนี้ ไม่เจตนาสละสัญชาติไทยจำเลยเรียนหนังสือจีนและหนังสือไทยในประเทศไทย ไม่เคยทำงานในกองทหารรัฐบาลจีน ไปประเทศจีนเพื่อทำการค้าขายและทำงานอื่นๆ ไม่เคยทำผิด พ.ร.บ.วิทยุสื่อสาร และทำผิดอย่างใดมาก่อน บิดามารดามีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทยเป็นหลักฐาน
ศาลชั้นต้นพิพากษาสั่งถอนสัญชาติไทยของจำเลย เพราะเหตุที่จำเลยกระทำการบังอาจมี,ตั้งและใช้ซึ่งเครื่องส่งและรับวิทยุติดต่อกับต่างประเทศ ฯลฯ (ผิดต่อ พ.ร.บ.วิทยุสื่อสาร ฯ) ให้ประกาศคำสั่งถอนสัญชาติในราชกิจจาฯ เมื่อคดีถึงที่สุด
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์เชื่อฟังได้ว่า จำเลยได้บังอาจมี,ตั้งและใช้เครื่องส่งและรับวิทยุติดต่อกับต่างประเทศ และเมื่อพิจารณาถึงพฤติการณ์ความเป็นมาของจำเลยแล้ว กรณีมีเหตุผลสมควรที่จะสั่งให้ถอนสัญชาติไทยของจำเลย
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า เมื่อจำเลยเกิดในประเทศไทย ถือสัญชาติไยอยู่ก่อน พ.ศ. ๒๔๙๕ โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะขอให้ถอนสัญชาติของจำเลยโดยอ้างว่าความใน พ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบับที่ ๒) ๒๔๙๖ มาตรา ๓ ซึ่งแก้ไขมาตรา ๗ แห่ง พ.ร.บ.สัญชาติ ๒๔๙๕ ประกอบกับ พ.ร.บ.สัญชาติ(ฉบับที่ ๒)มาตรา ๔ บัญญัติว่า ไม่กระทบกระเทือนถึงผู้ที่ได้สัญชาติอยู่แล้ว ก่อนวัน พ.ร.บ.สัญชาติ(ฉบับที่๒)๒๔๙๖ บังคับนั้น,ตามมาตรา ๗ แห่ง พ.ร.บ.สัญชาติเป็นเรื่องการได้สัญชาติโดยการเกิด ที่ว่าไม่กระทบกระเทือนถึงผู้ได้สัญชาติไทยอยู่ก่อน จึงย่อมหมายถึงเรื่องการได้สัญชาติโดยการเกิดเท่านั้นหาได้หมายถึงเรื่องการทีจะสั่งถอนสัญชาติไทยตาม มาตรา ๑๖ แห่ง พ.ร.บ.lสัญชาติ ๒๔๙๕ ไม่ พิพากษายืน.