แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 จะมิได้บัญญัติถึงการริบของกลางไว้แต่ก็มิได้บัญญัติถึง เรื่องนี้ไว้เป็นอย่างอื่นดังนั้น เมื่อจำเลยใช้ รถยนต์บรรทุกบรรทุกน้ำหนักเกินอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย รถยนต์บรรทุกจึงเป็นทรัพย์สินที่จำเลยได้ ใช้ในการกระทำความผิด ศาลมีอำนาจริบรถยนต์บรรทุกนั้นได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 ประกอบด้วย มาตรา 17
การที่ศาลพิพากษาให้ริบรถยนต์บรรทุกของกลางซึ่ง โจทก์ขอให้ริบตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 นั้น ศาลย่อมเห็นแล้วว่ารถยนต์บรรทุกของกลางเป็นทรัพย์ที่ใช้ ในการกระทำความผิด แม้จะมิได้ระบุบทกฎหมาย ก็มิใช่กรณีศาลพิพากษาไม่ชอบ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขับรถยนต์บรรทุกดินซึ่งมีน้ำหนักบรรทุกเกินอัตราที่ได้กำหนดแล่นไปตามทางหลวงแผ่นดินอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย ขอให้ลงโทษตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๙๕ ลงวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๑๕ ข้อ ๕๖, ๘๓ ประกาศผู้อำนวยการทางหลวงแผ่นดิน ลงวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๑๙ ข้อ ๔ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓ ขอให้ริบรถยนต์บรรทุกของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้อง จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก ๑ เดือน รถยนต์บรรทุกของกลางเห็นสมควรไม่ริบ
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ริบรถยนต์บรรทุกของกลาง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ริบรถยนต์บรรทุกของกลางนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาข้อแรกว่า เจตนารมณ์ของประมวลกฎหมายอาญามุ่งจะริบทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดโดยตรง รถยนต์บรรทุกของกลางมิใช่เป็นทรัพย์อันเป็นอุปกรณ์องค์ประกอบโดยตรงของประกาศของคณะปฏิวัติการที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาให้ริบรถยนต์บรรทุกของกลางจึงเป็นการไม่ชอบนั้นเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยขับรถยนต์บรรทุกดินซึ่งมีน้ำหนักยานพาหนะรวมน้ำหนักบรรทุกเกินกว่ากำหนด อันเป็นความผิดตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๙๕ ลงวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๑๕ และขอให้ศาลสั่งให้ริบรถยนต์บรรทุกของกลาง เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง จึงฟังได้ว่า จำเลยได้ใช้รถยนต์บรรทุกของกลางบรรทุกน้ำหนักเกิน อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย รถยนต์บรรทุกของกลางจึงเป็นทรัพย์สินที่บุคคลได้ใช้ในการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓ (๑) และแม้ประกาศของคณะปฏิบัติ ฉบับที่ ๒๙๕ ลงวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๑๕ จะมิได้บัญญัติถึงการริบของกลางไว้ แต่ก็มิได้บัญญัติถึงเรื่องนี้ไว้เป็นอย่างอื่น จึงนำมาตรา ๓๓ นี้มาใช้บังคับได้ตามมาตรา ๑๗ แห่งประมวลกฎหมายอาญา ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่จำเลยฎีกามาอีกข้อหนึ่งว่า ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยว่ารถยนต์บรรทุกของกลางเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดหรือไม่ และการริบเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายอย่างใด คำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงเป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่าการที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ริบรถยนต์บรรทุกของกลางนั้น ศาลอุทธรณ์ย่อมเห็นแล้วว่ารถยนต์บรรทุกของกลางเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิด ซึ่งโจทก์ขอให้ริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓ การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ริบรถยนต์บรรทุกของกลางจึงเป็นไปตามกฎหมาย แม้จะมิได้ระบุบทกฎหมายก็มิใช่กรณี ศาลอุทธรณ์ พิพากษาไม่ชอบ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.