แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
บิดาและมารดามีหน้าที่ร่วมกันให้การอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาแก่บุตรผู้เยาว์ในลักษณะเป็นลูกหนี้ร่วมกันซึ่งต้องรับผิดเป็นส่วนเท่าๆกัน สามีภริยาหย่าขาดจากกันและตกลงให้บุตรผู้เยาว์อยู่ในความปกครองของฝ่ายหนึ่งโดยมิได้ตกลงกันว่าฝ่ายที่ปกครองบุตรนั้นจะเป็นผู้ออกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรแต่ฝ่ายเดียวดังนี้ฝ่ายที่ปกครองบุตรย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรจากอีกฝ่ายหนึ่งตั้งแต่วันหย่าจนถึงวันฟ้องเพื่อแบ่งส่วนความรับผิดในฐานะที่เป็นลูกหนี้ร่วมกันได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยสมรสกันเมื่อ พ.ศ. 2511 มีบุตรด้วยกัน 2 คน อายุ 9 ปีและ7 ปี ต่อมา พ.ศ. 2521 โจทก์จำเลยหย่าขาดจากกัน และบุตรทั้งสองอยู่ในความปกครองของโจทก์ โจทก์เป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูตลอดมา หลังจากหย่ากันแล้วจำเลยไม่เคยส่งค่าอุปการะเลี้ยงดูและค่าการศึกษาให้แก่บุตรผู้เยาว์ทั้งสองจนถึงวันฟ้องเป็นเวลา 1 ปี 5 เดือนเศษ ขอให้บังคับให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูถึงวันฟ้อง 34,000 บาท กับให้ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูนับถัดจากวันฟ้องเดือนละ 2,000 บาท จนกว่าผู้เยาว์ทั้งสองจะบรรลุนิติภาวะหรือเรียนสำเร็จปริญญาตรี
จำเลยให้การว่า เมื่อจดทะเบียนหย่าแล้ว ตกลงกันว่าให้บุตรอยู่ในความปกครองของโจทก์โดยโจทก์จะเป็นผู้เลี้ยงดูเอง จำเลยได้จ่ายเงินส่งเสียอุปการะเลี้ยงดูมิได้ขาดโจทก์เรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูมากเกินไป โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเอาค่าอุปการะเลี้ยงดูย้อนหลัง เพราะโจทก์เป็นมารดามีหน้าที่ตามกฎหมายและตามศีลธรรมอยู่แล้ว จำเลยไม่อยู่ในฐานะที่จะให้ค่าอุปการะเลี้ยงดูได้ โจทก์มีฐานะดีกว่าจำเลยหากโจทก์ไม่สามารถเลี้ยงดูผู้เยาว์ได้ จำเลยยินดีจะอุปการะผู้เยาว์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาบุตรผู้เยาว์ที่ค้างชำระเป็นเวลา 1 ปี 5 เดือน เดือนละ 1,500 บาท เป็นเงิน 25,500 บาทและให้ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ทั้งสองแก่โจทก์นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปคนละ750 บาทต่อเดือน จนกว่าบุตรจะมีอายุ 15 ปีบริบูรณ์ และต่อจากนั้นคนละ 1,000 บาทต่อเดือน จนกว่าบุตรจะบรรจุนิตภาวะ
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีเด็กและเยาวชนพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาบุตรทั้งสองเป็นเงิน 17,500 บาท กับให้จำเลยชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้งสองนับแต่วันฟ้องคนละ 500 บาทต่อเดือน จนกว่าบุตรทั้งสองแต่ละคนจะมีอายุครบ 15 ปีบริบูรณ์ หากจำเลยได้รับเงินเพิ่มขึ้นก็ให้จำเลยเพิ่มค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้งสองอีกหนึ่งในสี่ของเงินเดือนที่เพิ่มตลอดไปจนกว่าบุตรทั้งสองจะบรรลุนิติภาวะ
โจทก์จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเด็กและเยาวชนฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์จำเลยสมรสกันเมื่อปีพ.ศ. 2511 มีบุตรด้วยกัน 2 คนอายุ 9 ปีและ 7 ปี เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2522 โจทก์จำเลยได้จดทะเบียนหย่าจาดจากการเป็นสามีภริยากันและตกลงกันให้บุตรทั้งสองซึ่งยังเป็นผู้เยาว์อยู่ในความปกครองของโจทก์ โจทก์เป็นผู้ให้การอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาแก่บุตรทั้งสองตลอดมา แล้ววินิจฉัยข้อกฎหมายว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1564 วรรคแรก บัญญัติว่า “บิดามารดาจำต้องอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาตามสมควรแก่บุตรในระหว่างที่เป็นผู้เยาว์”ตามบทบัญญัติดังกล่าวเห็นได้ว่า บิดาและมารดามีหน้าที่ร่วมกันในการให้การอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาแก่บุตรผู้เยาว์ อันเป็นลูกหนี้ร่วมกัน หาใช่เป็นหน้าที่ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแต่ฝ่ายเดียวไม่ ในระหว่างลูกหนี้ร่วมกันนั้นย่อมจะต้องรับผิดเป็นส่วนเท่า ๆ กันเวันเต่จะได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่นซึ่งอาจกำหนดโดยนิติกรรมสัญญาหรือตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ ถึงแม้โจทก์จำเลยจะหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากันและตกลงกันให้บุตรผู้เยาว์อยู่ในความปกครองของโจทก์ เมื่อมิได้ตกลงกันว่าโจทก์จะเป็นผู้ออกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรแต่ฝ่ายเดียวโจทก์ก็ย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรตั้งแต่วันหย่าจนถึงวันฟ้องเพื่อแบ่งส่วนความรับผิดในฐานะที่เป็นลูกหนี้ร่วมกันได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 229 และ 296 ส่วนค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรสมควรเป็นจำนวนเงินเท่าใด ศาลมีอำนาจกำหนดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1522 ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาบุตรทั้งสองเป็นเงิน 17,000 บาท กับให้จำเลยชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูนับแต่วันฟ้องคนละ 500 บาทต่อเดือนจนกว่าบุตรแต่ละคนจะมีอายุครบ 15 ปีบริบูรณ์ และต่อจากนั้นคนละ 750 บาทต่อเดือนจนกว่าบุตรแต่ละคนจะบรรลุนิติภาวะ คำขออื่นให้ยก