แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้เช่าทำสัญญากับผู้รับโอน ยอมโอนสิทธิการเช่าตึกให้แก่ผู้รับโอนตั้งแต่วันที่ผู้เช่ามีมติเลิกกิจการบริษัทเป็นต้นไป โดยผู้รับโอนยอมจ่ายเงินชดเชยให้ผู้เช่าจำนวนหนึ่ง เมื่อผู้รับโอนได้ทำสัญญาเช่ากับเจ้าของตึกแล้ว เห็นเจตนาได้ว่าเป็นสัญญาซึ่งมีวัตถุประสงค์ให้ผู้เช่าโอนสิทธิการเช่าตึกให้ผู้รับโอนในเมื่อผู้รับโอนทำสัญญาเช่ากับเจ้าของตึกแล้ว ความสำเร็จผลเป็นสัญญาผูกพันกันขึ้นอยู่กับการที่ผู้รับโอนได้ทำสัญญาเช่ากับเจ้าของตึกเป็นสำคัญ มิใช่เพียงโอนการเช่าหรือให้เช่าช่วงที่มิได้เกี่ยวข้องถึงผู้ให้เช่า
แม้ผู้เช่าจะมอบหมายให้ผู้รับโอนเก็บค่าเช่าช่วงจากผู้เช่าตึกได้ก่อนที่ผู้รับโอนจะทำสัญญาเช่ากับเจ้าของตึก แต่เมื่อผู้รับโอนไม่อาจเข้าเป็นผู้เช่าตึกได้ เพราะเจ้าของตึกไม่ยอมทำสัญญาเช่ากับผู้รับโอน ทำให้สัญญาโอนสิทธิการเช่าไม่บังเกิดผล ดังนั้นการที่ผู้รับโอนเข้าเก็บค่าเช่าช่วงจากผู้เช่าช่วง ย่อมมีผลเป็นเพียงกระทำแทนผู้เช่าเท่านั้น ผู้รับโอนจึงต้องมอบค่าเช่าช่วงที่เก็บไปคืนให้ผู้เช่า โดยหักค่าใช้จ่ายซึ่งเป็นภาระในการเช่าออกเสียก่อน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้อง บริษัทไทยนิยมพาณิชย์ จำกัด ทำสัญญาเช่าตึกเลขที่ ๑๖๐ ถนนเจริญกรุง จากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ แล้วแบ่งให้ผู้อื่นเช่าช่วง ๘ ราย ได้ค่าเช่าเดือนละ ๒๑,๖๐๐ บาท ต่อมาได้ทำสัญญาโอนสิทธิการเช่าตึกรายนี้ให้แก่จำเลย ในเมื่อได้รับความยินยอมจากผู้ให้เช่า แต่ระหว่างยังไม่ได้รับความยินยอม จำเลยได้เก็บค่าเช่าจากผู้เช่าช่วงตั้งแต่เดือนมกราคม ๒๕๐๗ ถึง ตุลาคม ๒๕๐๗ รวม ๑๐ เดือน เป็นเงิน ๒๑๖,๐๐๐ บาท โดยไม่มีอำนาจ ต่อมาบริษัทไทยนิยมพาณิชย์ จำกัด ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในคดีที่ถูกฟ้องล้มละลาย โจทก์ได้เข้าจัดการทรัพย์สิน จึงบอกเลิกสัญญากับจำเลยและขอให้จำเลยส่งค่าเช่าช่วงที่เก็บแทน แต่จำเลยไม่ยอมส่ง ขอให้บังคับ
จำเลยต่อสู้ว่า สัญญาโอนสิทธิการเช่าเป็นการโอนเด็ดขาด โจทก์ไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญา จำเลยเก็บค่าเช่าในนามจำเลย และเก็บได้เพียง ๑๓๑,๑๐๐ บาท ซึ่งต้องจ่ายเป็นค่าเช่าและอื่น ๆ คงเหลือเงินเพียง ๒๑,๙๒๔.๒๒ บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยส่งเงินค่าเช่าช่วงเดือนละ ๒๑,๖๐๐ บาท รวม ๑๗๒,๘๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยนับแต่วันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๐๗ จนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า สัญญาโอนการเช่าใช้บังคับกันใช้ระหว่างคู่สัญญา จำเลยมีสิทธิเก็บค่าเช่าช่วงได้ตามนัยฎีกาที่ ๔๔๑/๒๕๐๖ พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า บริษัทไทยนิยมพาณิชย์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้เช่าตึกพิพาทจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้ทำสัญญา จ. ๒ กับจำเลยมีใจความว่า บริษัทไทยนิยมพาณิชย์ จำกัด ยินยอมโอนสิทธิการเช่าตึกพิพาทให้แก่จำเลยตั้งแต่วันลงมติยืนยันเลิกกิจการบริษัทเป็นต้นไป และจำเลยยอมจ่ายเงินชดเชยให้ ๒๐,๐๐๐ บาท ซึ่งจะจ่ายให้เมื่อจำเลยได้เซ็นสัญญาเช่ากับสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เรียบร้อยแล้ว จำเลยได้แจ้งขอเช่าแก่ไม่ได้รับความยินยอม จึงยังไม่ได้ชำระเงิน ต่อมาบริษัทไทยนิยมพาณิชย์จำกัด ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด โจทก์ได้เข้าจัดการทรัพย์ทั้งหมด และบอกเลิกสัญญาโอนสิทธิการเช่ากับให้จำเลยคืนเงินค่าเช่าที่เก็บไป
ศาลฎีกาเห็นว่า สัญญาฉบับนี้มีวัตถุประสงค์ให้บริษัทไทยนิยมพาณิชย์จำกัด โอนสิทธิการเช่าตึกให้จำเลย ในเมื่อจำเลยได้ทำสัญญาเช่ากับสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ผู้เป็นเจ้าของตึกแล้ว ความสำเร็จผลเป็นสัญญาผูกพันต่อกันขึ้นอยู่กับการที่จำเลยได้ทำสัญญาเช่ากับเจ้าของตึกเป็นสำคัญ ไม่ใช่เพียงโอนการเช่าหรือให้เช่าช่วงที่มิได้เกี่ยวข้องถึงผู้ให้เช่าตึก ดังศาลอุทธรณ์วินิจฉัยและยกคำพิพากษาฎีกาขึ้นเทียบเคียง ฉะนั้น แม้บริษัทไทยนิยมพาณิชย์ จำกัด ได้มอบหมายให้จำเลยที่เกี่ยวข้องกับการเช่า โดยให้เก็บค่าเช่าได้ก่อนที่จำเลยจะได้ทำสัญญาเช่ากับผู้ให้เข่าตึก เมื่อจำเลยไม่อาจเข้าเป็นผู้เช่าตึกได้ตามวัตถุประสงค์ เพราะเจ้าของตึกไม่ทำสัญญาเช่ากับจำเลย ทำให้สัญญาระหว่างจำเลยกับบริษัทไทยนิยมพาณิชย์ จำกัด ไม่บังเกิดผล การกระทำใด ๆ ที่ทำไปก่อนหน้าที่เกี่ยวกับการที่จำเลยเข้าเก็บค่าเช่าช่วงจากผู้เช่าช่วง มีผลเพียงกระทำแทนบริษัทไทยนิยมพาณิชย์ จำกัดเท่านั้น จำเลยจึงต้องมอบเงินค่าเช่าช่วงที่เก็บไปคืนให้โจทก์
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเรียกเก็บค่าเช่าช่วงได้ ๘ เดือนรวม ๑๓๑,๑๐๐ บาท และวินิจฉัยต่อไปว่า การที่บริษัทไทยนิยมพาณิชย์ จำกัด มอบให้จำเลยเก็บเงินค่าเช่าช่วงนั้น เป็นไปตามสัญญาโอนสิทธิการเช่า จ.๒ อันเป็นการโอนให้จำเลยทั้งหน้าที่และภาระในการเช่า เพื่อให้จำเลยเข้าเป็นผู้เช่ากับสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ค่าเช่าช่วงที่จำเลยเก็บได้จึงต้องผูกพันอยู่ด้วยค่าภาระติดพันต่าง ๆ ที่จำเลยมีหน้าที่ต้องจัดทำแทนบริษัทไทยนิยมพาณิชย์ จำกัด เกี่ยวกับตึกหลังนี้อันได้ค่าดูแลรักษาตัวตึก ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้าและค่าเช่า ซึ่งจำเลยจ่ายไปรวม ๘๙,๑๗๕ บาท ๗๘ สตางค์ เหลือเงินสุทธิที่จำเลยต้องชำระคืนให้โจทก์ ๔๑,๙๒๔.๒๒ บาท
พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ยนับแต่วันผิดนัดจนกว่าจะชำระเสร็จ