คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1682/2500

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยลักทรัพย์โดยวิธีล้วงกระเป๋า จำเลยแกะกระดุมเปิดฝากระเป๋ากางเกงเอาธนบัตรออกมานอกกระเป๋า แล้วพอดีเจ้าทรัพย์รู้ตัวใช้มือตบกระเป๋าบังเอิญไปถูกมือจำเลยซึ่งกำลังกุมธนบัตรอยู่ ธนบัตรร่วงหล่นจากมือจำเลยลงไปที่เท้าเจ้าทรัพย์ ดังนี้เป็นความผิดฐานลักทรัพย์สำเร็จแล้ว ไม่ใช่เป็นความผิดฐานพยายาม.

ย่อยาว

คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาชี้ขาดข้อเท็จจริงยืนตามศาลชั้นต้นว่า จำเลยเป็นคนร้ายลักทรัพย์โดยวิธีล้วงเอาธนบัตร ๘๐๐ บาทไปจากกระเป๋ากางเกงของนายปาน พักเชื้อไป พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานลักทรัพย์สำเร็จตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา ๒๘๘ ให้ลงโทษจำคุก ๒ ปี เพิ่มโทษฐานไม่เข็ดหลาบตาม ม.๓๒ อีก ๑ ใน ๓ รวมเป็น ๒ ปี ๘ เดือน และจำเลยเคยถูกศาลพิพากษาลงโทษฐานลักทรัพย์มาก่อนแล้วถึง ๓ ครั้ง มีสันดานเป็นผู้ร้าย เมื่อพ้นโทษแล้วให้ส่งตัวไปกักกันมีกำหนดอีก ๓ ปี และคืนเงินของกลางให้เจ้าทรัพย์
จำเลยฎีกา ศาลรับฎีกาเฉพาะในปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยอ้างว่าการกระทำของจำเลยยังไม่สำเร็จ คดีเป็นผิดฐานพยายามลักทรัพย์เท่านั้น
ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าจำเลยล้วงธนบัตรออกจากกระเป๋ากางเกงของนายปานซึ่งมีฝาปิดและมีกระดุมกลัดอยู่เอาธนบัตรออกมานอกกระเป๋าแล้วพอดีเจ้าทรัพย์รู้สึกตัว ใช้มือตบกระเป๋าบังเอิญไปถูกมือจำเลยซึ่งกำลังกุมธนบัตรอยู่ ธนบัตรร่วงหล่นจากมือจำเลยลงไปที่เท้าเจ้าทรัพย์
จำเลยมีเจตนาลักโดยวิธีล้วงกระเป๋า และแกะกระดุมเปิดฝาล้วงเอาธนบัตรออกมานอกกระเป๋าได้แล้ว การล้วงกระเป๋าเป็นการสำเร็จ จึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์สำเร็จ
แต่โทษเก่า ๆ ของจำเลยนั้น ภายหลังที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีนี้ไปแล้ว ได้มีการบังคับใช้ พ.ร.บ.ล้างมลทินในโอกาศครบ ๒๕ พุทธศตวรรษ พ.ศ. ๒๔๙๙ ในมาตรา ๓ ให้ถือว่ามิได้เคยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำผิดในคดีนั้น ๆ เป็นอันล้างมลทินไปแล้ว มีผลให้ไม่ต้องเพิ่มโทษหรือกักกันจำเลยไปในตัว
พิพากษาแก้เป็นเพียงให้ลงโทษจำคุกจำเลยฐานลักทรัพย์มีกำหนด ๒ ปี ตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา ๒๘๘ แต่ประการเดียว ฯลฯ

Share