แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นพนักงานสอบสวนจะทำการสอบสวนที่ใด เวลาใดก็ได้ แล้วแต่จะเห็นสมควรตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 130 การที่จำเลยสอบถามข้อเท็จจริงบางประการจากโจทก์ที่โรงพยาบาลแล้วไปจดลงในคำให้การของโจทก์ที่สถานีตำรวจอันเป็นที่ทำการของจำเลยภายหลัง โดย ระบุว่าสอบสวนที่สถานีตำรวจเพียงเหตุเท่านี้หาเป็นการทำและรับรองเอกสารอันเป็นเท็จไม่.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นพนักงานสอบสวนปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ คือจำเลยบิดเบือนข้อเท็จจริงบิดรูปคดีเพื่อช่วยเหลือผู้ต้องหาและได้ทำหลักฐานอันเป็นเท็จว่าได้ทำการสอบสวนโจทก์ซึ่งเป็นผู้กล่าวหาในกรณีดังกล่าวแล้วโดยมิได้มีการสอบสวนผู้กล่าวหาเลย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐, ๙๑, ๑๕๗, ๑๖๒
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗, ๑๖๒ การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามมาตรา ๑๕๗ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ จำคุก ๒ ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า จำเลยเป็นพนักงานสอบสวนจะทำการสอบสวนที่ใด เวลาใดก็ได้แล้วแต่จะเห็นสมควรตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๓๐ การที่จำเลยทำการสอบถามข้อเท็จจริงบางประการจากโจทก์ที่โรงพยาบาลแล้วไปจดลงในคำให้การของโจทก์ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเก้าเลี้ยวอันเป็นที่ทำการของจำเลยภายหลังโดยระบุว่าสอบสวนที่สถานีตำรวจภูธร อำเภอเก้าเลี้ยว เพียงเหตุเท่านี้หาเป็นการทำและรับรองเอกสารอันเป็นเท็จไม่
พิพากษายืน.