แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
มารดายกที่ดินให้บุตร 1 แปลง เนื้อที่ 11 ไร่ ในขณะที่บุตรนั้นมีอาชีพและครอบครัวเป็นหลักฐานแล้ว ไม่อยู่ในสภาพที่ผู้เป็นมารดามีหน้าที่ตามธรรมจรรยาที่จะต้องอุปการะทั้งที่ดินเป็นจำนวนมากราคาสูง จึงมิใช่เป็นการให้โดยหน้าที่ธรรมจรรยาดังที่บัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 535 (3)
การที่บุตรด่าว่ามารดาด้วยถ้อยคำว่า “อีแก่มึงจะโกงเงินกูอีแก่อย่าไปเก็บผลไม้ของกู ถ้าไม่เชื่อกูจะเอาตำรวจมาจับมึงข้อหาว่าลักทรัพย์” และด้วยถ้อยคำว่า “ใครแดกได้ก็แดกแดกไม่ได้ก็อย่าแดก” เป็นการแสดงเจตนาดูหมิ่นมารดา ผู้เป็นบุพพการี โดยไม่มีความเคารพยำเกรงตามวิสัยของบุตรทั่วไปนับได้ว่าเป็นการหมิ่นประมาทมารดาอย่างร้ายแรง ถือได้ว่าเป็นการประพฤติเนรคุณตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นมารดาจำเลย ได้ยกที่ดิน ๑ แปลงเนื้อที่ ๑๑ ไร่ ให้แก่จำเลยโดยเสน่หา ก่อนยกให้โจทก์ได้สงวนสิทธิเก็บผลอาสินในที่ดินดังกล่าว ต่อมาจำเลยประพฤติเนรคุณโจทก์ โดยโจทก์ให้จำเลยเอาเงินไปฝากธนาคาร แต่จำเลยกลับไปฝากในนามของจำเลยโจทก์จะถอนเงินจำเลยไม่ยอม กลับด่าโจทก์ว่า “อีแก่มึงจะโกงเงินกู” และจำเลยไม่ยอมให้โจทก์เก็บผลอาสินในที่ดินที่โจทก์ยกให้ โดยกล่าวห้ามในเชิงหมิ่นประมาทโจทก์ว่า “อีแก่อย่าไปเก็บผลไม้ของกูถ้าไม่เชื่อกูจะเอาตำรวจมาจับมึงข้อหาว่าลักทรัพย์” ทั้งจำเลยไม่ยอมจัดหาอาหารให้โจทก์ กล่าวหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงว่า “อีแก่ดีแต่แดกแดกไม่ได้ก็อย่าแดก” จึงขอให้ศาลพิพากษาถอนคืนการให้ที่ดินดังกล่าวให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนคืนให้โจทก์
จำเลยให้การว่าโจทก์ยกที่ดินให้แก่บุตรทุกคน และยกที่ดินตามฟ้องให้จำเลยซึ่งเป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูโจทก์ จึงเป็นการยกให้โดยหน้าที่ธรรมจรรยาจะถอนคืนการให้โดยอ้างเหตุว่าจำเลยเนรคุณไม่ได้ จำเลยไม่เคยห้ามโจทก์ไม่ให้เก็บกินในที่ดินที่ยกให้ ไม่ได้เอาเงินของโจทก์ไป และไม่เคยล่วงเกินโจทก์ไม่ว่าด้วยกายหรือวาจา
ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยด่าและหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงเป็นการเนรคุณโจทก์ พิพากษาให้จำเลยคืนที่ดินตามฟ้องให้แก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ให้จำเลยเอาเงินไปฝากธนาคารในนามของโจทก์ แต่จำเลยกลับฝากในนามของตนเอง และพยายามจะเบียดบังเอาไว้เป็นประโยชน์ของตน จำเลยได้ด่าว่าโจทก์จริงดังที่โจทก์นำสืบ แล้ววินิจฉัยว่า การที่จำเลยด่าว่าโจทก์ซึ่งเป็นมารดาด้วยถ้อยคำว่า อีแก่มึงจะโกงเงินกู อีแก่ อย่าไปเก็บผลไม้ของกู ถ้าไม่เชื่อกูจะเอาตำรวจมาจับมึง หาว่าลักทรัพย์ และด้วยถ้อยคำว่า ใครแดกได้ก็แดก แดกไม่ได้ก็อย่าแดก นี้ เป็นการแสดงเจตนาดูหมิ่นโจทก์ผู้เป็นบุพพการีหามีความเคารพยำเกรงตามวิสัยของบุตรทั่วไปไม่ นับได้ว่าเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง และถือได้ว่าจำเลยประพฤติเนรคุณโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๓๑
ส่วนในปัญหาว่า การที่โจทก์ยกที่ดินพิพาทให้จำเลยเป็นการให้โดยหน้าที่ธรรมจรรยาหรือไม่ นั้น ปรากฏว่าขณะที่โจทก์ยกที่ดินพิพาทให้จำเลยนั้นจำเลยมีอาชีพและครอบครัวเป็นหลักฐานแล้วไม่อยู่ในสภาพที่โจทก์ผู้เป็นมารดามีหน้าที่ตามธรรมจรรยาที่จะต้องอุปการะทั้งที่ดินเป็นจำนวนมาก ราคาสูง จึงมิใช่เป็นการให้โดยหน้าที่ธรรมจรรยาดังที่บัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๓๕ (๓) ส่วนข้อที่จำเลยฎีกาว่าที่ดินพิพาทเป็นสินสมรสของบิดาจำเลยด้วย โจทก์ขอถอนคืนการให้ได้เพียงครึ่งเดียวนั้นจำเลยมิได้ยกเป็นข้อต่อสู้มาแต่ต้น ไม่มีประเด็นวินิจฉัยในชั้นฎีกาฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน