แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่ศาลพิพากษาให้ผู้กระทำความผิดจ่ายเงินบำเหน็จตามมาตรา 71 พระราชบัญญัติการประมงมีผลเท่ากับเป็นการลงโทษทางอาญาแก่ผู้กระทำความผิด ชอบที่ศาลจะใช้ดุลพินิจกำหนดโทษหรืออีกนัยหนึ่งกำหนดเงินบำเหน็จได้ตามควรแก่กรณีคำสั่งกระทรวงเกษตรซึ่งวางระเบียบการจ่ายเงินบำเหน็จเป็นคำสั่งที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 71 แห่งพระราชบัญญัติการประมงฯจึงไม่มีทางแปลไปได้ว่าเป็นบทบังคับศาลพิพากษาให้ผู้กระทำความผิดชำระเงินบำเหน็จไปตามจำนวนที่พนักงานเจ้าหน้าที่กำหนด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้เครื่องมือทำการประมงที่ห้ามใช้เด็ดขาดทำการประมงจับปลาในฤดูปลามีไข่ในที่จับสัตว์น้ำในน่านน้ำจืด ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2490 มาตรา 32, 65, 69, 71ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 105 ลงวันที่ 24 มีนาคม 2515 ข้อ 5ริบของกลาง และขอให้จำเลยชำระเงินบำเหน็จแก่ผู้นำจับตามที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ตกลงจะจ่ายให้เป็นเงิน 500 บาท ตามคำสั่งของกระทรวงเกษตรที่ 133/2514 เรื่องระเบียบการจ่ายเงินบำเหน็จให้แก่ผู้กระทำผิดพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2490 ด้วย
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามบทกฎหมายที่โจทก์อ้างขอให้ลงโทษ ปรับ 500 บาท ลดเพราะรับสารภาพตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้กึ่งหนึ่ง คงปรับ 250 บาทส่วนที่โจทก์ขอให้จำเลยชำระค่าบำเหน็จนำจับ 500 บาท สูงเกินไปเห็นควรให้จำเลยชำระเพียง 200 บาท เงินค่าปรับและค่าบำเหน็จหากไม่ชำระ ให้บังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30ริบของกลาง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
มีปัญหาว่า ศาลพิพากษาลดเงินบำเหน็จนำจับลงจากจำนวนที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ตกลงจะจ่ายให้แก่ผู้นำจับนั้น คลาดเคลื่อนต่อกฎหมายหรือไม่
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2490 มาตรา 71 บัญญัติว่า “ผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ต้องจ่ายเงินบำเหน็จแก่ผู้นำจับตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนดแต่ต้องไม่เกินสองพันบาท และต้องชดใช้เงินซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการไปตามมาตรา 59 ในกรณีที่ศาลลงโทษผู้กระทำความผิด ให้ศาลพิพากษาให้ผู้กระทำความผิดชำระเงินดังกล่าวแล้วถ้าไม่ชำระ ให้จัดการตามมาตรา 18 แห่งกฎหมายลักษณะอาญา โดยถือเสมือนว่าเป็นค่าปรับ”ดังนั้น เมื่อผู้กระทำความผิดไม่ชำระเงินบำเหน็จ ก็จะต้องถูกยึดทรัพย์สินใช้ค่าบำเหน็จ หรือมิฉะนั้นจะต้องถูกกักขังแทนค่าบำเหน็จ ทั้งนี้โดยถือว่าค่าบำเหน็จเป็นเสมือนหนึ่งค่าปรับตามความหมายแห่งมาตรา 29 ประมวลกฎหมายอาญา (ซึ่งใช้แทนมาตรา 18 กฎหมายลักษณะอาญาเดิม) จากบทบัญญัติดังกล่าวจะเห็นได้ว่า การไม่ชำระเงินบำเหน็จอาจทำให้ผู้กระทำความผิดถึงกับต้องถูก “กักขัง” แทน “กักขัง” เป็นโทษอย่างหนึ่ง ฉะนั้น การที่ศาลพิพากษาให้ผู้กระทำความผิดจ่ายเงินบำเหน็จตามมาตรา 71 แห่งพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2490 จึงมีผลเท่ากับเป็นการลงโทษทางอาญาแก่ผู้กระทำความผิด ชอบที่ศาลจะใช้ดุลพินิจกำหนดโทษ หรืออีกนัยหนึ่งกำหนดเงินบำเหน็จนั้นได้ตามควรแก่กรณี ส่วนคำสั่งกระทรวงเกษตรที่ 133/2514 ซึ่งวางระเบียบการจ่ายเงินบำเหน็จ ก็มิได้กำหนดจำนวนเงินบำเหน็จนำจับเป็นอัตราตายตัว เพียงแต่กำหนดจำนวนอย่างสูงไว้เท่านั้น ทั้งคำสั่งนี้ก็ออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 71 แห่งพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2490 จึงไม่มีทางที่จะแปลไปได้ว่าเป็นบทบังคับศาลพิพากษาให้ผู้กระทำความผิดชำระเงินบำเหน็จไปตามจำนวนที่พนักงานเจ้าหน้าที่กำหนด
พิพากษายืน