แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
จำเลยมีอาการป่วยทางจิตคล้ายเป็นโรคจิตเภทโดยมีอาการระแวง จึงไปรับการรักษาที่คลินิกรวม 4 ครั้ง ครั้งสุดท้ายจำเลยบอกแพทย์ที่รักษาว่าหายแล้ว ขอเลิกกินยา แสดงว่าอาการของจำเลยต้องดีขึ้น สามารถพูดจารู้เรื่องแล้ว ก่อนเกิดเหตุประมาณ 2 เดือน จำเลยเคยนำอาวุธปืนของกลางออกไปใช้แล้วนำกลับไปคืนที่บ้าน ม. ในวันเกิดเหตุจำเลยงัดกุญแจประตูห้องนอน ม. แล้วนำอาวุธปืนของกลางออกไป โดยก่อนไปยังขอเงินภริยาจำเลยเพื่อเติมน้ำมันแล้วขับรถยนต์ออกไป หลังเกิดเหตุมีการใช้อาวุธปืนยิง ป. ผู้ตาย จำเลยยังสามารถขับรถยนต์หลบหนีกลับบ้านได้ ในชั้นสอบสวนจำเลยพูดจารู้เรื่องสามารถพูดโต้ตอบได้ จึงเป็นกรณีที่จำเลยกระทำความผิดในขณะยังสามารถรู้ผิดชอบอยู่บ้างหรือสามารถบังคับตนเองได้บ้างตาม ป.อ. มาตรา 65 วรรคสอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 289, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72 วรรคสาม, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 65 วรรคสอง เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานฆ่าผู้อื่น จำคุก 6 ปี ฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นและเครื่องกระสุนปืน จำคุก 6 เดือน ฐานพาอาวุธปืนลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นบทหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 4 เดือน รวมจำคุก 6 ปี 10 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง แต่ให้ส่งตัวจำเลยไปคุมตัวไว้เพื่อทำการตรวจรักษาที่โรงพยาบาลจิตเวชของแก่น จนกว่าแพทย์ผู้ตรวจรักษาเห็นว่าหายป่วยและสามารถอยู่ร่วมในสังคมได้โดยไม่เป็นอันตรายต่อผู้อื่นอีกต่อไปแล้ว จึงให้เพิกถอนคำสั่งและให้จำเลยพ้นจากการคุมตัวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 48
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยซึ่งป่วยเป็นโรคจิตมีอาวุธปืนยาวลูกซองเดี่ยว (เรมิงตัน) ขนาด 12 จำนวน 1 กระบอก มีหมายเลขทะเบียนซึ่งเป็นของทางราชการมอบให้นายพาย เสนา บิดาจำเลยไว้ใช้ในราชการ กับกระสุนปืนลูกซอง ขนาด 12 จำนวน 2 นัด ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และพาอาวุธปืนพร้อมเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน และทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต แล้วจำเลยใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงนายปราโมทย์ ดวงจันทร์ทิพย์ ผู้ตาย จำนวน 1 นัด เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่าจำเลยกระทำไปในขณะไม่สามารถรู้ผิดชอบหรือไม่สามารถบังคับตนเองได้เพราะโรคจิตหรือไม่ ได้ความจากคำเบิกความของนายแพทย์สุชาติ พหลภาคย์ ผู้ตรวจรักษาซึ่งเป็นพยานจำเลยว่าจำเลยมีอาการป่วยทางจิตเป็นโรคคล้ายจิตเภทโดยมีอาการระแวง จึงไปรับการรักษาที่คลินิกของพยานรวม 4 ครั้ง ในวันที่ 30 สิงหาคม 2540, วันที่ 13 กันยายน 2540, วันที่ 11 ตุลาคม 2540 และวันที่ 8 พฤศจิกายน 2540 ตามลำดับ เฉพาะในครั้งที่ 4 จำเลยบอกพยานว่าหายแล้ว ขอเลิกกินยา แสดงว่าอาการของจำเลยต้องดีขึ้นสามารถพูดจารู้เรื่องแล้ว ก่อนเกิดเหตุประมาณ 2 เดือน จำเลยเคยนำอาวุธปืนของกลางออกไปใช้แล้วนำกลับไปคืนที่บ้านนายมาบ วันเกิดเหตุจำเลยก็งัดกุญแจประตูห้องนอนนายมาบแล้วนำอาวุธปืนของกลางออกไป โดยก่อนไปยังขอเงินเติมน้ำมันรถจากนางวันเพ็ญภริยาจำเลยแล้วขับรถยนต์ออกไป หลังเกิดเหตุจำเลยยังสามารถขับรถยนต์หลบหนีกลับบ้านได้ ได้ความจากคำเบิกความของร้อยตำรวจเอกวุฒิ ศรีวิลัย พนักงานสอบสวนว่าชั้นสอบสวนจำเลยพูดจารู้เรื่องสามารถพูดโต้ตอบได้ จึงเป็นกรณีที่จำเลยกระทำไปโดยยังสามารถรู้ผิดชอบอยู่บ้างหรือสามารถบังคับตนเองได้บ้างตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 65 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยว่าจำเลยไม่สามารถรู้ผิดชอบหรือไม่สามารถบังคับตนเองได้นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้บังคับไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น