แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยมีสุราที่ผิดกฎหมายไว้ในความครอบครอง และจำเลยได้กินสุราที่มีไว้นั้น จำเลยรับว่าได้กินสุรานั้นจริง ส่วนข้อมีสุราปฏิเสธ แล้วโจทก์ไม่สืบพยาน ดังนี้ โจทก์จะกลับมาโต้แย้งว่าต้องมีไว้ในครอบครองก่อนแล้ว จึงจะกินได้นั้นย่อมฟังไม่ขึ้นเพราะความผิดฐานมีสุราเถื่อนกับกินสุราเถื่อนนั้นเป็นคนละฐานแยกกันได้
พ.ร.บ.สุรา พ.ศ.2493 ไม่ได้บัญญัติความผิดฐานดื่มกินสุราผิดกฎหมายไว้ ฉะนั้นเมื่อผู้กระทำผิดฐานกินสุราผิดกฎหมายตามพ.ร.บ.ภาษีชั้นใน ถูกฟ้องขอให้ลงโทษฐานนี้ เมื่อใช้ พ.ร.บ.สุรา พ.ศ.2493 แล้ว ศาลจะลงโทษจำเลยฐานกินสุราผิดกฎหมายไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยมีสุราแช่ และกินสุราแช่ที่มีไว้โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นสุราที่ทำขึ้นผิดกฎหมาย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติภาษีชั้นใน ฐานมีและกินสุราเถื่อน
จำเลยปฏิเสธ
ก่อนสืบพยานโจทก์ จำเลยรับว่าได้กินสุราแช่จริงข้อมี ปฏิเสธโจทก์จำเลยไม่สืบพยาน
ศาลชั้นต้นเห็นว่า เมื่อโจทก์ไม่สืบพยานความผิดฐานมีสุราก็ตกไปคงเหลือแต่ข้อหาฐานกินสุรา ตามที่จำเลยรับ แต่ปรากฏว่าความผิดฐานกินสุรานี้ได้ถูกยกเลิกตามพระราชบัญญัติสุรา พ.ศ. 2493 เสียแล้วจึงจะลงโทษจำเลยฐานกินสุราไม่ได้ จึงพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาว่า การกินสุรา ก็ตือการนำสุราเข้ามาไว้ในความครอบครองของตน แล้วดื่มกิน ย่อมถือว่าเป็นการมีสุราไว้ในความครอบครองได้แล้ว
ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อจำเลยรับในข้อที่ว่า กินสุราผิดกฎหมายแต่อย่างเดียว ข้อมีสุราไว้ในครอบครองจำเลยปฏิเสธ โจทก์พอใจไม่สืบพยานดังนี้ โจทก์จะกลับมาโต้แย้งว่า ต้องมีไว้ในครอบครองก่อนแล้วจึงจะกินได้นั้นย่อมฟังไม่ขึ้น เพราะความผิดฐานมีสุราเถื่อนกับกินสุราเถื่อนนั้น เป็นคนละฐาน แยกกันได้ เมื่อพระราชบัญญัติสุรา พ.ศ. 2493 ไม่ได้บัญญัติความผิดฐานดื่มกินสุราผิดกฎหมายไว้ ก็ลงโทษจำเลยไม่ได้
จึงพิพากษายืน