แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการร้านสหกรณ์โจทก์ตามสัญญาจ้าง ปล่อยปละละเลยให้มีการขายบุหรี่โดยไม่ได้รับชำระราคา กรณีดังนี้ต้องถือว่าจำเลยที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่ผู้จัดการบกพร่องอย่างร้ายแรงจนเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จึงเป็นการประพฤติผิดสัญญาจ้าง โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะบังคับจำนองจากทรัพย์จำนองอันเป็นประกันค่าเสียหายนั้นได้
ร้านสหกรณ์โจทก์ได้จ่ายเงินค่าสินค้าไปแล้วแต่หาได้มีการลงบัญชีรับสินค้าไว้ไม่ แสดงว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้จัดการอาจไม่ได้นำสินค้าเข้าร้านสหกรณ์ก็ได้ สินค้าบางรายการลงบัญชีจ่ายเงินซ้ำสองครั้ง เงินสดคงเหลือตามบัญชีจึงผิดไปจากความเป็นจริงร้านสหกรณ์โจทก์ย่อมได้รับความเสียหายจากการจัดทำบัญชีขัดกับใบสำคัญ ซึ่งทำให้มีการจ่ายเงินไปโดยไม่มีความจำเป็นจะต้องจ่ายจึงต้องถือว่าจำเลยที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่ในเรื่องเหล่านี้อย่างบกพร่องอันจะต้องชดใช้ค่าเสียหายด้วยดุจกัน จำเลยที่ 1 จะอ้างว่าเป็นความผิดพลาดของสมุหบัญชีที่ไม่ลงบัญชีให้ถูกต้อง ซึ่งไม่ใช่ความผิดของตนนั้นย่อมเถียงไม่ขึ้นเพราะเป็นหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ที่จะต้องควบคุมสอดส่องการทำบัญชีของร้านสหกรณ์ให้เป็นไปตามข้อบังคับโดยใกล้ชิด
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 733 ไม่ใช่บทบัญญัติแห่งกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ผู้จำนองอาจตกลงกับผู้รับจำนองเป็นประการอื่นพิเศษนอกเหนือจากที่มาตรา 733 บัญญัติไว้ ก็ย่อมกระทำได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ เป็นผู้จัดการร้านค้าของโจทก์จำเลยที่ ๑ ได้นำโรงเรือนมาจำนองเป็นประกันค่าเสียหายจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ ๑ โดยนำที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๗๔ พร้อมสิ่งปลูกสร้างมาจำนองเป็นประกัน หากจำเลยที่ ๑ ก่อความเสียหายแก่โจทก์เป็นเงินไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๓ ที่ ๔ และที่ ๕ เป็นกรรมการดำเนินการสหกรณ์โดยมติที่ประชุมใหญ่โดยจำเลยที่ ๓ เป็นประธานกรรมการจำเลยที่ ๔ เป็นเลขานุการจำเลยที่ ๕ เป็นเหรัญญิก
จำเลยที่ ๑ ได้ปฏิบัติการอันไม่ชอบฝ่าฝืนข้อบังคับของโจทก์ที่วางไว้และปฏิบัติผิดสัญญาจ้างและค้ำประกันที่ทำไว้เป็นเหตุให้โจทก์ ได้รับความเสียหายรวมเป็นเงิน ๒๘๑,๗๘๗.๗๕ บาท ขอให้บังคับจำเลยที่ ๒ ชำระหนี้แทนจำเลยที่ ๑ เป็นเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาทถ้าไม่ชำระให้บังคับจำนองที่ดินของจำเลยที่ ๒ และโรงเรือนของจำเลยที่ ๑ นำเงินมาชำระแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ ร่วมกันใช้เงินแก่โจทก์ ๒๘๑,๗๘๗.๗๕ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย ๒๑,๑๓๔.๐๘ บาท ถ้าบังคับจำนองขาดอยู่อีกเท่าใดให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ ชดใช้จนครบ และให้ชำระดอกเบี้ยในต้นเงิน ๒๘๑,๗๘๗.๗๕ บาท
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การว่าจำเลยที่ ๑ มิได้ทุจริตประมาทเลินเล่อหรือปฏิบัติผิดสัญญาจ้างแต่ประการใด
จำเลยที่ ๓ ที่ ๔ และที่ ๕ ให้การมีใจความว่าจำเลยทั้งสามไม่ได้ประมาทเลินเล่อ
จำเลยที่ ๓ ที่ ๔ และที่ ๕ ร้องขอให้ศาลเรียกบุคคล ๓๓ คนที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับกิจการของโจทก์เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เรียกบุคคลตามคำร้องเลขที่ ๕ ถึงเลขที่ ๓๓ รวม ๒๙ คนเข้ามาเป็นจำเลยร่วม
จำเลยร่วมทุกคนให้การทำนองเดียวกันว่าไม่ต้องรับผิด มิได้ประมาทเลินเล่ออย่างใด
ระหว่างการพิจารณานายสนอง ดีสมบัติ จำเลยที่ ๕ ตาย โจทก์ขอถอนฟ้องศาลอนุญาตแล้วสำหรับนายฉลอม มกรครรภ์ และนายสิงห์ ปกาสิทธิ์ จำเลยร่วมตาย ศาลสั่งจำหน่ายคดีแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงิน ๒๗๙,๘๕๖.๒๕ บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวตั้งแต่วันที่ ๙ กันยายน ๒๕๐๓ จนกว่าชำระเสร็จโดยบังคับเอาจากทรัพย์ที่จำเลยที่ ๑ จำนองไว้กับโจทก์หากได้ไม่ครบก็บังคับเอาแก่ทรัพย์อื่นของจำเลยที่ ๑ จนครบ ถ้าจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระขาดอยู่เท่าใดให้จำเลยที่ ๒ รับผิดแทนในวงเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท โดยบังคับจากทรัพย์ของจำเลยที่ ๒ ที่จำนองไว้กับโจทก์ ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยอื่นและจำเลยร่วมทุกคน
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยโดยคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๗๗๓/๒๕๑๒ ว่า ฟ้องไม่เคลือบคลุมศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานจำเลยที่ ๑ เสียทั้งหมด รวมทั้งไม่ให้ถามติงจำเลยที่ ๑ ไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณาจำเป็นต้องให้จำเลยที่ ๑ ดำเนินการสืบพยานจนสิ้นกระแสความจึงจะชี้ขาดข้อเท็จจริงได้ส่วนปัญหาคดีขาดอายุความหรือไม่ก็ยังวินิจฉัยไม่ได้ พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานในส่วนที่เกี่ยวกับเฉพาะจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ต่อไป แล้วพิพากษาใหม่
ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานของจำเลยที่ ๑ คงพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ รับผิดชำระเงินและบังคับจำนองจากทรัพย์ของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เช่นเดียวกับคำพิพากษาศาลชั้นต้นครั้งแรก
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยที่ ๑ เข้าปฏิบัติหน้าที่ผู้จัดการร้านสหกรณ์ตามสัญญาจ้างลงวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๐๑ จำเลยที่ ๑ กลับปล่อยปละละเลยให้มีการขายบุหรี่โดยไม่ได้รับชำระราคา รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน ๒๗๖,๗๒๖.๒๕ บาท กรณีดังนี้ต้องถือว่าจำเลยที่ ๑ ปฏิบัติหน้าที่ผู้จัดการร้านสหกรณ์บกพร่องอย่างร้ายแรงจนเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายแล้วจึงเป็นการประพฤติผิดสัญญาจ้าง โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะบังคับจำนองจากทรัพย์จำนองอันเป็นประกันค่าเสียหายของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ได้สำหรับความสูญเสียเกี่ยวกับหนี้ค่าขายบุหรี่เป็นเงิน ๒๗๖,๗๒๖.๒๕ บาท
ส่วนการซื้อน้ำมันก๊าดจากโรงสีธัญญาผลตามใบเสร็จรับเงินลงวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๐๓ ปรากฏว่าร้านสหกรณ์ได้จ่ายเงินค่าน้ำมันก๊าดไปรวม ๑,๔๐๐ บาทตามบัญชีสินค้าของร้านสหกรณ์หาได้ลงรับไว้เป็นหลักฐานอย่างใดไม่ แสดงว่าจำเลยที่ ๑ อาจไม่ได้นำสินค้าเข้าร้านสหกรณ์ก็ได้ สำหรับการซื้อน้ำมันก๊าดจากร้านบรรจงวานิชย์รวมเงิน ๑,๗๒๐ บาท ตามใบเสร็จรับเงินลงวันที่ ๓, ๖, ๑๑, ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๐๒ รวม ๕ ฉบับ ปรากฏว่าลงบัญชีรายจ่ายเงินซ้ำสองครั้ง แทนที่จะลงบัญชีชำระในปี ๒๕๐๒ หนเดียว กลับลงบัญชีชำระรายการเดียวกันในปี ๒๕๐๓ อีก เงินสดคงเหลือตามบัญชีจึงผิดไปจากความจริง โจทก์ย่อมได้รับความเสียหายจากการจัดทำบัญชีขัดกับใบสำคัญซึ่งทำให้มีการจ่ายเงินของร้านสหกรณ์ไปโดยไม่มีความ จำเป็นจะต้องจ่าย จึงต้องถือว่าจำเลยที่ ๑ ปฏิบัติหน้าที่ในเรื่องเหล่านี้อย่างบกพร่องอันจะต้องชดใช้ค่าเสียหายด้วยดุจกัน จำเลยที่ ๑ จะอ้างว่าเป็นความผิดพลาดของสมุหบัญชีที่ไม่ลงบัญชีให้ถูกต้องซึ่งไม่ใช่ความผิดของตนนั้น ย่อมเถียงไม่ขึ้นเพราะเป็นหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ ที่จะต้องควบคุมสอดส่องการทำบัญชีของร้านสหกรณ์ให้เป็นไปตามข้อบังคับโดยใกล้ชิด เมื่อจำเลยที่ ๑ ละเลยต่อหน้าที่เสียเองจะมาปฏิเสธความรับผิดหาได้ไม่ฉะนั้นจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จำต้องยอมให้โจทก์บังคับจำนองเพื่อชดใช้ความเสียหายดังกล่าวสำหรับเงิน ๓,๑๓๐ บาทด้วยอีกโสดหนึ่งจึงรวมเป็นการบังคับจำนองเพื่อความเสียหายทั้งสิ้น ๒๗๙,๘๕๖.๒๕ บาท
อนึ่ง จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ตั้งประเด็นมาในคำแก้ฎีกาว่าหากจำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์ถ้าโจทก์บังคับจำนองแล้วได้เงินสุทธิน้อยกว่าจำนวนเงินที่ค้างชำระแล้วยังขาดอยู่เท่าใด จำเลยก็ไม่ต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗๓๓ ข้อสัญญาที่ให้จำเลยรับผิดมากกว่าทรัพย์จำนองเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๑๓ จึงตกเป็นโมฆะ ในข้อนี้เห็นว่ามาตรา ๗๓๓ ไม่ใช่บทบัญญัติแห่งกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนผู้จำนองอาจตกลงกับผู้รับจำนองเป็นประการอื่นพิเศษนอกเหนือจากที่มาตรา ๗๓๓ บัญญัติไว้ก็ย่อมกระทำได้เช่นในกรณีที่ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดแล้วยังได้เงินไม่พอใช้หนี้ ผู้จำนองยอมรับผิดให้ผู้รับจำนองยึดทรัพย์อื่นของตนมาใช้หนี้จนครบเป็นต้นข้อตกลงอันนี้ย่อมมีผลบังคับกันได้ตามกฎหมาย หาตกเป็นโมฆะอย่างใดไม่ปรากฏตามสัญญาจำนองที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ทำไว้กับโจทก์มีระบุไว้ในข้อ ๒ ตรงกันว่า “ถ้าในการบังคับจำนองตามสัญญานี้ได้เงินไม่พอจำนวนที่ค้างชำระเท่าใด ผู้จำนองยอมรับผิดใช้จำนวนเงินที่ยังขาดอยู่นั้นจนครบ” หมายความว่าถึงจะยึดทรัพย์จำนองของทอดตลาดแล้วได้เงินไม่พอใช้หนี้แก่โจทก์ โจทก์ก็ยังมีสิทธิที่จะยึดทรัพย์อื่น ๆ ของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกหนี้โดยตรงและของจำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้จำนองเป็นประกันมาใช้หนี้จนครบอีกได้ ข้อโต้แย้งในปัญหาข้อกฎหมายของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นทุกประการ