แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ยึดถือที่ดินมีโฉนดไว้แทนเจ้าของเกิน 10 ปีแล้ว แต่เพิ่งแสดงเจตนาเปลี่ยนการยึดถือเมื่อราว 2 ปีมานี้ ย่อมไม่อาจอ้างว่าได้กรรมสิทธิ์โดยทางครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๘ โจทก์ได้รับมรดกที่ดินจากนายอินบิดาโจทก์ ๑ แปลง ตามโฉนดที่ ๑๘๘๐ จำเลยขออาศัยปลูกบ้านอยู่ตั้งแต่ครั้งบิดาโจทก์ เมื่อโจทก์ได้รับมรดกมาแล้วจำเลยคงขออาศัยอยู่ต่อไปและขอรักษาโฉนดไว้ เมื่อเดือน ๑๑ และ ๑๒ พ.ศ. ๒๕๐๙ จำเลยตัดต้นไม้และกอไผ่รวมราคา ๖๐๐ บาท โดยโต้แย้งกรรมสิทธิ์ว่าที่ดินเป็นของจำเลยโจทก์ขอโฉนดคืนก็ไม่ยอมคืนให้ ขอให้พิพากษาให้จำเลยส่งโฉนดคืนและขับไล่จำเลยพร้อมทั้งรื้อสิ่งปลูกสร้างออกไป กับให้ใช้ค่าเสียหาย๖๐๐ บาท
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า เดิมที่พิพาทเป็นของนางสี เมื่อ ๔๓ ปีมานี้ จำเลยแต่งงานกับนางทองมีบุตรนางสี ในวันแต่งงานนางสียกที่ดินดังกล่าวกับเรือนและยุ้งข้าวให้จำเลยกับนางทองมี จำเลยกับนางทองมีได้ครอบครองด้วยความสงบและเปิดเผยตลอดมาจนนางสีตาย เป็นเวลาถึง ๔๓ ปีแล้ว ย่อมได้สิทธิตามกฎหมาย บิดามารดาโจทก์และตัวโจทก์เองไม่เคยเกี่ยวข้องหรือใช้สิทธิเป็นเจ้าของที่ดินนี้เลย ขอให้พิพากษาแสดงว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย กับสั่งถอนชื่อโจทก์ออกจากโฉนดที่ ๑๘๘๐ และลงชื่อจำเลยถือกรรมสิทธิ์ต่อไป
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า เมื่อจำเลยมาได้นางทองมีย่าของโจทก์เป็นภริยานั้น หาได้มีการยกทรัพย์สินให้ในระหว่างแต่งงานไม่ นางสีโอนขายที่พิพาทให้บิดาโจทก์ บิดามารดาโจทก์ได้อยู่กินในที่พิพาท เมื่อบิดาโจทก์ตายแล้ว โจทก์กับมารดาก็อยู่ในที่พิพาทตลอดมา เมื่อโจทก์ขอรับมรดกที่ดินนี้แล้วจำเลยขออาศัยปลูกบ้านอยู่ในที่แปลงนี้ และขอโฉนดไปเก็บไว้ให้ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ขับไล่จำเลย กับให้ส่งโฉนดที่พิพาทให้โจทก์ และให้ใช้ค่าเสียหาย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังว่า ที่พิพาทเดิมเป็นของนายแดงนางสี นางสีจดทะเบียนรับมรดกจากนายแดงสามีเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๔๘๕ แล้วนางสีโอนขายให้นายทองอิน (หลานของนางสี) บิดาโจทก์ในวันเดียวกันนั้นเอง ต่อมานายทองอินตาย จึงมีการจดทะเบียนโอนมรดกมาเป็นของโจทก์เมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๔ เมื่อจำเลยแต่งงานกับนางทองมี(ย่าของโจทก์) แล้วก็ได้อาศัยอยู่กับนางสีแม่ยายในที่พิพาท จนนางสีตายจำเลยจึงได้อาศัยนายทองอินอยู่ต่อมาในฐานะที่นายทองอินเป็นบุตรของนางทองมีภริยาจำเลยซึ่งเกิดจากสามีคนก่อน แม้เมื่อนายทองอินแต่งงานและไปทำนาอยู่กับแม่ยาย ห่างไปประมาณ ๔ กิโลเมตร นายทองอินก็ยังไป ๆ มา ๆ บางคราวนายทองอินก็มาเก็บผลไม้กินในที่พิพาท จำเลยจึงคงเป็นผู้ยึดถือที่พิพาทในฐานะผู้แทนนายทองอินแม้จะครอบครองมาเกิน๑๐ ปี แต่ตราบใดที่จำเลยยังมิได้บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือไปยังนายทองอินหรือโจทก์ซึ่งเป็นทายาทเมื่อนายทองอินตายแล้วว่าไม่เจตนาจะยึดถือที่พิพาทแทนต่อไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๑ ตราบนั้นจำเลยก็ไม่อาจอ้างว่าได้กรรมสิทธิ์โดยทางครอบครองตามมาตรา ๑๓๘๒ ได้ และตามข้อเท็จจริงจำเลยเพิ่งแสดงเจตนาเปลี่ยนการยึดถือเมื่อประมาณ ๒ ปีก่อนโจทก์ฟ้องนี่เองโดยไม่ยอมให้มารดาโจทก์เก็บผลไม้ในที่พิพาท อ้างว่าโจทก์ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาท เมื่อฟังว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ การที่จำเลยตัดต้นไม้ในที่พิพาท จึงเป็นการละเมิดต้องใช้ค่าเสียหาย
ส่วนโฉนดที่พิพาท ยังฟังไม่ถนัดว่าอยู่ที่จำเลย
พิพากษาแก้เฉพาะที่ให้จำเลยส่งโฉนดที่พิพาทให้โจทก์ เป็นว่าให้ยกคำขอข้อนี้เสียนอกนั้นคงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์