คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1673/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกาให้ทุเลาการบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษาในระหว่างฎีกา โดยนำโฉนดที่ดินมาวางเป็นประกัน เมื่อศาลฎีกาพิพากษาแล้ว การทุเลาการบังคับคดีก็สิ้นสุดลง การที่จำเลยร้องขอรับโฉนดที่ดินคืน ย่ออยู่ในอำนาจของศาลชั้นต้นที่จะพิจารณาสั่ง
เมื่อจำเลยถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด แม้โจทก์จะเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ก็ต้องยื่นคำรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด หากไม่ยื่นย่อมหมดสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ ไม่เกี่ยวกับการที่ศาลจะสั่งปลดจากล้มละลายหรือไม่
การที่จำเลยนำโฉนดที่ดินมาวางเป็นประกันในการขอทุเลาการบังคับคดีนั้นไม่ก่อให้เกิดบุริมสิทธิ และถือไม่ได้ว่าโจทก์เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเป็นเจ้าหนี้มีประกันตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามเช็ค 40,000 บาทจากจำเลย ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยใช้เงินตามฟ้อง จำเลยฎีกา และร้องขอทุเลาการบังคับคดี ศาลฎีกาสั่งอนุญาตให้ทุเลาการบังคับคดี โดยให้จำเลยหาประกัน จำเลยได้นำโฉนดที่ดิน 2 ฉบับ มาวางเป็นประกันต่อมาศาลฎีกาพิพากษายืน และได้อ่านคำพิพากษาให้คู่ความฟังเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2509

คดีปรากฏว่า จำเลยได้ถูกนายสุวรรณ รัตนเมธานนท์ ฟ้องล้มละลายและศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2509 จำเลยได้ขอประนอมหนี้และศาลได้มีคำสั่งเห็นชอบแล้วเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2510 โดยมีเงื่อนไขในคำขอประนอมหนี้ข้อหนึ่งว่า นางมาลียอมชำระเงินจำนวนหนึ่งให้เพื่อแลกเปลี่ยนกับโฉนดที่ดิน 2 ฉบับ ดังกล่าวและศาลได้มีคำสั่งปิดคดี

จำเลยจึงยื่นคำร้องต่อศาลขอรับโฉนดที่วางเป็นประกันเพื่อไปจัดการโอนให้แก่นางมาลี โดยกล่าวว่าโจทก์ไม่ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์หมดสิทธิที่จะบังคับคดีแล้ว

โจทก์ค้านว่า จำเลยยังมีหน้าที่จะต้องชำระหนี้รายนี้ต่อศาลตามที่ทำสัญญาประกันไว้

ศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์มิได้ขอรับชำระหนี้ภายในกำหนด หนี้ต้องระงับจำเลยชอบที่จะขอรับโฉนดคืนได้ มีคำสั่งคืนโฉนดให้จำเลย

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกาต่อมา

1. โจทก์ฎีกาว่า ศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจสั่งคืนโฉนด เพราะการที่ศาลชั้นต้นรับโฉนดไว้จากจำเลย เป็นการดำเนินการโดยคำสั่งของศาลฎีกาการที่จำเลยจะขอรับโฉนดคืน เป็นอำนาจของศาลฎีกาที่จะสั่ง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลฎีกาสั่งให้ทุเลาการบังคับคดีไว้ระหว่างฎีกาเมื่อศาลฎีกาพิพากษาแล้ว การทุเลาการบังคับคดีก็สิ้นสุดลง ต่อจากนั้นเป็นอำนาจและหน้าที่ของศาลชั้นต้นที่จะดำเนินการต่อไป เมื่อจำเลยมาขอรับโฉนดคืน ย่อมเป็นอำนาจของศาลชั้นต้นที่จะสั่งโดยตรง

2. โจทก์ฎีกาว่า ตามกฎหมายล้มละลาย เมื่อศาลยังมิได้สั่งให้ปลดการล้มละลาย เป็นแต่เพียงสั่งปิดคดีไว้ จำเลยยังไม่หลุดพ้นจากหนี้ จะคืนโฉนดให้จำเลยหาได้ไม่

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลยังไม่ได้มีคำสั่งปลดจากการล้มละลาย กรณีไม่ต้องด้วยมาตรา 77 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายดังโจทก์ฎีกาจริง แต่เมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดแล้วโจทก์ไม่ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย มาตรา 27 และ 91 แม้โจทก์เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา เมื่อไม่ยื่นคำขอรับชำระหนี้ภายในกำหนดเวลา โจทก์ก็ย่อมหมดสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้กรณีไม่เกี่ยวกับเรื่องที่ศาลจะสั่งปลดจากการล้มละลาย

3. โจทก์ฎีกาว่า หนี้ที่จำเลยผูกพันอยู่ตามคำพิพากษานี้เป็นหนี้บุริมสิทธิ เพราะได้มีการทำสัญญาประกันระหว่างศาลกับจำเลยหนี้ดังกล่าวย่อมได้รับความคุ้มครอง

ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยเอาโฉนดที่ดินมาเป็นหลักประกันในการขอทุเลาการบังคับคดีนั้น ไม่ได้ก่อให้เกิดบุริมสิทธิแต่ประการใด และถือไม่ได้ว่าโจทก์เป็นเจ้าหนี้มีประกันตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย โจทก์เป็นเพียงเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเท่านั้น

เมื่อหนี้ของโจทก์เอาชำระไม่ได้ สัญญาค้ำประกันที่จำเลยทำไว้ต่อศาลย่อมสิ้นสุดลง เพราะไม่มีหนี้ที่จะค้ำประกันต่อไปอีก

พิพากษายืน

Share