คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1404/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยให้การว่าที่นาที่สวนเป็นของจำเลยได้มาโดยรับมรดกจากบิดามารดา บิดาตายมาประมาณ 16 ปีแล้ว จำเลยครอบครองแต่ผู้เดียวตลอดมา เป็นคำให้การที่แสดงข้อต่อสู้ถึงสิทธิครอบครองและสิทธิฟ้องร้องแล้ว ถือได้ว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375
จำเลยครอบครองที่พิพาทมาแต่ฝ่ายเดียว เมื่อจำเลยตกลงทำบันทึกแบ่งที่พิพาทให้โจทก์ การครอบครองของจำเลยจึงเป็นการครอบครองแทนโจทก์ด้วย แต่ภายหลังจำเลยได้ขอถอนการยกให้ดังกล่าว ถือได้ว่า จำเลยได้ครอบครองเพื่อตนแต่นั้นมา โจทก์เพิ่งมาฟ้องคดีเมื่อพ้นหนึ่งปี ย่อมขาดสิทธิฟ้องร้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1, 2 นายแพงสามีโจทก์ที่ 3 จำเลยและนายหวัน เป็นบุตรนายโคตรนางจันดา นางจันดาตายก่อน นายโคตร ตายเมื่อ 5 ปีมานี้ เดือนกรกฎาคม 2505 โจทก์จำเลยตกลงแบ่งที่นาที่สวนมรดกของนายโคตร แล้วได้ครอบครองเป็นส่วนสัด นายแพงตายโจทก์ที่ 3 รับมรดกต่อมา เมื่อเดือน 6 พ.ศ. 2507 จำเลยบุกรุกถอนหลักเขต ห้ามโจทก์เกี่ยวข้องกับที่พิพาท ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่นาที่สวนรายพิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง

จำเลยต่อสู้ว่า ที่นาที่สวนเป็นของจำเลยได้รับมรดกจากบิดามารดาบิดาตายมา 16 ปีแล้ว จำเลยครอบครองแต่ผู้เดียวตลอดมา จำเลยไม่เคยตกลงแบ่งให้โจทก์ หากมีข้อตกลงที่อำเภอก็เป็นกลฉ้อฉลโจทก์เคยฟ้องจำเลยมาครั้งหนึ่งแล้ว ฟ้องใหม่ไม่ได้เป็นฟ้องซ้ำ

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่เป้นฟ้องซ้ำ แต่คดีไม่น่าเชื่อว่าโจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทเป็นส่วนสัด พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เมื่อได้ทำบันทึกข้อตกลงตามเอกสาร จ.1ก็ต้องถือว่าเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ เจ้าพนักงานที่ดินและผู้ใหญ่บ้านได้ไปแบ่งแยกปักหลักเขตไว้ ฟังได้ว่าโจทก์ได้แสดงการเป็นเจ้าของครอบครองที่ส่วนของตนแล้ว จำเลยเข้าครอบครองเสียทั้งหมด ไม่ยอมให้โจทก์ตามข้อตกลง โจทก์มีสิทธิฟ้อง พิพากษากลับว่าที่พิพาทตามบันทึกข้อตกลงและตามแผนที่ท้ายฟ้อง ซึ่งระบุส่วนของโจทก์ เป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยยื่นคำให้การว่า ที่นาที่สวนเป็นของจำเลยได้มาโดยรับมรดกจากบิดามารดา บิดาตายมาประมาณ 16 ปีแล้วจำเลยครอบครองแต่ผู้เดียวตลอดมา เป็นการแสดงข้อต่อสู้ถึงสิทธิครอบครองและสิทธิฟ้องร้องแล้ว ถือได้ว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375

ปัญหาต่อไปมีว่า จำเลยได้ครอบครองที่พิพาทมาเกินกว่า 1 ปี หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า นางจันดามารดาโจทก์จำเลยได้ตายไปก่อนส่วนนายโคตรบิดาโจทก์จำเลยได้ถึงแก่ความตายมา 16 ปีแล้ว วันที่ 8 พฤษภาคม 2498 จำเลยได้แจ้งการครอบครองที่นารายพิพาท และจำเลยกับนายวันได้แจ้งการครอบครองที่สวนรายพิพาทไว้ วันที่ 30 กรกฎาคม 2505 จำเลยได้ตกลงแบ่งที่รายพิพาททั้ง 2 แปลงให้แก่นายวันและฝ่ายโจทก์ การครอบครองของจำเลยจึงเป็นการครอบครองแทนโจทก์ด้วยแต่วันที่ 25 ธันวาคม 2506 จำเลยได้ไปขอถอนการยกให้ จึงถือได้ว่าจำเลยได้ครอบครองเพื่อตนแต่นั้นมา ทั้งต่อมาเจ้าพนักงานยังได้แจ้งให้โจทก์กับพวกทราบ โจทก์ได้ยื่นฟ้องครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2507 แต่ศาลพิพากษายกฟ้อง ไม่เป็นเหตุให้การครอบครองของจำเลยสะดุดหยุดลง โจทก์จึงมาฟ้องคดีนี้ใหม่เมื่อวันที่ 9เมษายน 2508 โดยจำเลยได้ครอบครองที่พิพาทเพื่อตนมาฝ่ายเดียวคดีโจทก์จึงขาดสิทธิฟ้องร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375

พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share