คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1672/2512

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยซึ่งมีข้อความว่า ที่โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยค้างชำระค่าจ้างรับเหมาก่อสร้าง 2 งวด กับค่าก่อสร้างเพิ่มเติมนั้น ไม่เป็นความจริง หากจำเลยได้เข้ามาสู้คดีกับโจทก์ จำเลยมีทางชนะคดีโจทก์ได้แน่นอน แล้วต่อจากนั้นจำเลยก็ได้บรรยายมาในคำขอโดยละเอียดถึงสาเหตุที่จำเลยไม่จ่ายเงินค่าจ้างรับเหมา และค่าก่อสร้างเพิ่มเติมดังกล่าวเช่นนี้ ถือได้ว่า จำเลยได้คัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลโดยชัดแจ้งแล้ว

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำสัญญาจ้างเหมาให้โจทก์ก่อสร้างอาคารตึก ๑ หลัง กำหนดจ่ายเงินค่าจ้างเป็นงวด ๆ รวม ๘ งวด นอกจากนั้นจำเลยยังได้ว่าจ้างให้โจทก์เปลี่ยนแปลงและเพิ่มเติมงานก่อสร้างนอกเหนือไปจากสัญญา เป็นการตกลงด้วยวาจากรวม ๑๐ รายการคิดเป็นเงิน ๓๕,๕๗๐ บาท สำหรับงานก่อสร้างตามสัญญานั้นจำเลยค้างชำระโจทก์อยู่ ๒ งวด คือ งวดที่ ๗ ที่ ๘ เป็นเงิน ๑๒๕,๐๐๐ บาท โจทก์ได้ทวงถามหลายครั้ง จำเลยกลับอ้างเหตุต่าง ๆ แล้วบอกเลิกสัญญา โจทก์ทำงานแล้วเสร็จไปประมาณ ๙๐ เปอร์เซ็นต์ ขอให้จำเลยชำระเงินค่าก่อสร้างที่ค้าง ๒ งวด กับค่าก่อสร้างเพิ่มเติม รวม ๑๖๐,๕๗๐ บาทพร้อมทั้งดอกเบี้ยให้โจทก์
เนื่องจากการส่งหมายเรียกให้จำเลย ณ ภูมิลำเนาไม่อาจทำได้ ศาลชั้นต้นจึงประกาศเรียกจำเลยทางหนังสือพิมพ์ โดยกำหนดวันให้จำเลยยื่นคำให้การ และวันนัดสืบพยานโจทก์ไปด้วย จำเลยไม่ยื่นคำให้การและไม่มาศาลตามกำหนด ศาลชั้นต้นจึงสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ดำเนินการสืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียว แล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงินโจทก์ ๑๔๔,๕๑๓ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่อ้างเหตุว่าจำเลยมิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การ และขาดนัดพิจารณา จำเลยไม่ทราบว่าโจทก์ฟ้องจำเลย
ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องของจำเลยแล้ว มีคำสั่งว่า ตามคำร้องของจำเลยนั้น ข้อ ๒,๓ และ ๔ ได้กล่าวถึงเหตุที่จำเลยขาดนัด ส่วนคำร้องข้อ ๕ เป็นการกล่าวโต้แย้งคำฟ้องของโจทก์ ดังนั้น คำร้องของจำเลยจึงไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๐๘ วรรค ๒ เพราะไม่มีข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาล
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าคำขอของจำเลยมีข้อความตรงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๒๐๘ พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นสั่งคำขอของจำเลยใหม่
โจทก์ฎีกา
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยคงมีว่า คำร้องของจำเลยที่ขอให้พิจารณาใหม่นั้น มีข้อความคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้นโดยชัดแจ้งหรือไม่ ศาลฎีกาได้ตรวจคำร้องดังกล่าวของจำเลย โดยเฉพาะความในข้อ ๕ จำเลยกล่าว่า ด้วยความเคารพต่อศาลแพ่ง ตามฟ้องโจทก์อ้างว่าจำเลยเป็นหนี้ค่ารับเหมาก่อสร้างงวดที่ ๗ และงวดที่ ๘ กับค่าก่อสร้างเพิ่มรวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๖๐,๕๗๖ บาท นั้นไม่เป็นความจริง หากจำเลยได้เข้ามาต่อสู้คดีกับโจทก์ จำเลยมีทางชนะคดีโจทก์ได้แน่นอน เพราะโจทก์ไม่มีสิทธิจะเรียกเงินจำนวนดังกล่าวจากจำเลยได้ ดังเหตุผลที่จำเลยจะกราบเรียนต่อไปนี้ ” ต่อจากนั้นจำเลยได้บรรยายรายละเอียดว่า ที่จำเลยไม่จ่ายเงินค่าก่อสร้างงวดที่ ๗ และงวดที่ ๘ เพราะโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาก่อสร้างหลายประการ จำเลยได้ขอร้องให้โจทก์แก้ไขสิ่งบกพร่องหลายครั้ง แต่โจทก์กลับประวิงการทำงานให้ช้าลง จำเลยจึงบอกเลิกสัญญากับโจทก์ โจทก์ยังมิได้ลงมือทำงานในงวดที่ ๗ และงวดที่ ๘ จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าจ้างจากจำเลย สำหรับค่าก่อสร้างเพิ่มเติมที่โจทก์อ้างมา ๑๐ รายการนั้น คงมีแต่รายการที่ ๔ และที่ ๘ เท่านั้นที่จำเลยได้จ้างให้โจทก์ทำเพิ่มขึ้น
ศาลฎีกาเห็นว่าคำร้องของจำเลยดังกล่าวถือได้ว่าจำเลยได้คัดค้านการตัดสินชี้ขาดของศาลโดยชัดแจ้งแล้ว ตามคำพิพากษาฎีกาที่ ๔๔๒/๒๕๑๐ และที่ ๙๖๐/๒๕๑๑
พิพากษายืน

Share