คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1670/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานบุกรุก อ้างว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท แต่โจทก์ไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินมาแสดง อีกทั้งทางราชการก็ยังโต้แย้งสิทธิในที่ดินพิพาทของโจทก์อยู่พยานหลักฐานโจทก์ยังไม่พอรับฟังว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตามกฎหมาย จึงรับฟังไม่ได้ว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของและผู้ครอบครองที่ดินซึ่งตั้งอยู่ตำบลตลาดเหนือ อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต เนื้อที่ประมาณ42 ไร่เศษ จำเลยบุกรุกเข้าไปในที่ดินอันเป็นอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์ โดยปลูกโรงเรือน ปักเสารั้วเป็นเนื้อที่ประมาณ 5 ไร่เศษ ตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง เพื่อถือการครอบครองบางส่วนและเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์โดยปกติสุข ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362, 365 ให้จำเลยรื้อถอนพร้อมทั้งขนย้ายเสารั้วและโรงเรือนออกไปจากที่ดินโจทก์
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 ประกอบมาตรา 365(3) ลงโทษปรับ 3,000 บาท หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 คำขออื่นให้ยก
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาข้อแรกจำเลยฎีกาว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ราชพัสดุ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายและไม่มีอำนาจฟ้องศาลฎีกาเห็นว่าหากที่ดินพิพาทเป็นที่ราชพัสดุจริง ที่ดินพิพาทก็เป็นที่ดินของรัฐ ซึ่งตามพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2518 มาตรา 5บัญญัติให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ดังนั้น แม้โจทก์จะครอบครองที่ดินพิพาทมานานเพียงใดโจทก์ก็ไม่ได้สิทธิในที่ดินพิพาทตามกฎหมาย ทั้งยังอาจถูกฟ้องร้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108 ทวิ และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 อีกด้วยโดยนัยดังกล่าวโจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย ปัญหาข้อนี้ปรากฏว่า ตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องซึ่งแสดงอาณาเขตที่ดินที่ของโจทก์นั้นอยู่ในเขตที่ดินซึ่งเป็นที่ราชพัสดุที่เจ้าพนักงานของรัฐได้จัดทำไว้ตามเอกสารหมาย ล.1 ที่โจทก์นำสืบว่า โจทก์เคยยื่นคำขอให้ออกโฉนดที่ดินสำหรับที่ดินของโจทก์ ก็ได้ความว่าเจ้าพนักงานของรัฐคัดค้านว่าที่ดินดังกล่าวอยู่ในเขตที่ดินซึ่งกรมทรัพยากรธรณีให้ขึ้นทะเบียนไว้เป็นที่ราชพัสดุ ซึ่งความข้อนี้ก็ปรากฏว่าโจทก์ได้ขอถอนเรื่องขอรังวัดออกโฉนดที่ดินเสียโดยไม่ได้ดำเนินการอย่างไรต่อไป เห็นว่า ข้อที่โจทก์อ้างว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท โจทก์ไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินมาแสดง ทางราชการก็ยังโต้แย้งสิทธิในที่ดินพิพาทของโจทก์อยู่ พยานหลักฐานโจทก์ยังไม่พอรับฟังว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตามกฎหมายจึงรับฟังไม่ได้ว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยอันจะก่อให้เกิดอำนาจฟ้องร้องจำเลยในข้อหาบุกรุก และเมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้วฎีกาของจำเลยข้อต่อไปจึงไม่จำต้องวินิจฉัย…”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง.

Share