แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้จำเลยที่ 3 จะให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ที่กล่าวอ้างว่าจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดต่อโจทก์ก็ตาม แต่เมื่อศาลชั้นต้นชี้สองสถานมิได้กำหนดปัญหาข้อนี้เป็นประเด็นข้อพิพาท และจำเลยที่ 3 ก็มิได้โต้แย้งคัดค้านไว้ถือว่าจำเลยที่ 3 ได้สละประเด็นข้อพิพาทนี้แล้วจึงเป็นปัญหาที่มิได้ว่ากันมาแต่ศาลชั้นต้นศาลฎีกา ไม่รับวินิจฉัย
จำเลยที่ 2 ฎีกามีใจความทำนองเดียวกับอุทธรณ์ มิได้โต้แย้งหรือคัดค้านว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ชอบหรือไม่ถูกต้องด้วยประการใดจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า แม้จำเลยที่ 1 จะประมาท แต่ ผู้ขับรถยนต์โดยสารก็มีส่วนร่วมประมาทด้วย การกำหนดค่าเสียหายก็ควรให้ผู้ร่วมทำละเมิดร่วมรับผิดชอบด้วยนั้นปัญหานี้จำเลยที่ 3 มิได้ให้การต่อสู้ไว้จึงเป็นปัญหาที่มิได้ว่ากันมาแต่ศาลชั้นต้นศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๓ เป็นเจ้าของโรงงานน้ำปลาไทยรุ่งโรจน์และมีชื่อเป็นเจ้าของรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ร.บ. ๐๔๘๒๘ แต่ทำนิติกรรมลวงบุคคลภายนอกว่า จำเลยที่ ๒ ได้เช่าซื้อรถยนต์คันดังกล่าวจากจำเลยที่ ๓ ความจริงจำเลยที่ ๓ ยังใช้รถยนต์ดังกล่าวในกิจการของจำเลยที่ ๓ และให้จำเลยที่ ๒ ครอบครองควบคุมดูแลการขนส่งน้ำปลาของจำเลยที่ ๓ เมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๑๘ จำเลยที่ ๑ ลูกจ้างของจำเลยที่ ๓ กระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๓ ได้ขับรถยนต์คันดังกล่าวบรรทุกน้ำปลาไปจังหวัดชัยภูมิโดยจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ควบคุม จำเลยที่ ๑ ขับรถด้วยความประมาทด้วยความเร็วสูงไม่ชะลอความเร็วลง และแซงรถคันอื่นในทางโค้งทั้งเป็นที่คันอันเป็นเหตุให้ชนกับรถยนต์โดยสารคันหมายเลขทะเบียน อ.บ. ๐๒๕๕๕ ซึ่งสวนทางมาทำให้ผู้โดยสารและคนขับรถยนต์โดยสารถึงแก่ความตาย ๓ คน โจทก์ได้รับอันตรายแก่กาย โดยกระดูกแขนซ้ายหักมีอาการเจ็บ เส้นประสาทระดับเหนือข้อศอกขึ้นไปและกล้ามเนื้อแขนเป็นอัมพาต แขนและมือซ้ายใช้การไม่ได้โจทก์ต้องเข้ารักษาที่โรงพยาบาลเป็นเงิน ๒๙,๑๙๕ บาท โจทก์กลายเป็นคนพิการตลอดชีวิตขอคิดค่าเสียหาย ๔๐,๐๐๐ บาท โจทก์มีอาชีพเป็นพนักงานบัญชีและเลขานุการทั่วไปของบริษัทตั้งเจริญกิจ ก่อสร้างจำกัด ขาดรายได้เป็นเงิน ๓๖,๐๐๐ บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันละเมิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๗,๘๘๙.๖๒ บาท รวมค่าเสียหายถึงวันฟ้อง ๑๑๓,๐๘๔.๖๒ บาทขอให้ศาลพิพากษาและบังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ ๑๑๓,๐๘๔.๖๒ บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๑ โจทก์ขอถอนฟ้อง ศาลอนุญาต
จำเลยที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ไม่ใช่ลูกจ้างจำเลยที่ ๓ แต่เป็นลูกจ้างขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ร.บ. ๐๔๘๒๘ ของจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๓ ไม่ใช่เจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์คันดังกล่าว โดยจำเลยที่ ๓ ขายให้จำเลยที่ ๒โดยผ่อนชำระเป็นรายเดือน ขณะเกิดเหตุน้ำปลาที่บรรทุกอยู่เป็นของจำเลยที่ ๒ โดยจำเลยที่ ๒ ซื้อจากจำเลยที่ ๓ และนำไปจำหน่าย โจทก์จะโดยสารและได้รับบาดเจ็บหรือไม่จำเลยที่ ๓ ไม่ทราบและไม่รับรองจำเลยที่ ๑ ไม่ได้ประมาทเหตุเกิดเพราะความประมาทของนายสีคนขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน อ.บ. ๐๒๕๕๕ โดยขับรถด้วยความเร็วสูงในทางโค้งเป็นเหตุให้เสียหลักล้ำเส้นแบ่งกึ่งกลางถนนเข้าไปในเส้นทางของรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ร.บ. ๐๔๘๒๘ ซึ่งแล่นมาพอดีจึงชนกับโจทก์บาดเจ็บเล็กน้อย ค่ารักษาพยาบาลไม่เกิน ๕,๐๐๐ บาท และรักษาพยาบาลไม่เกิน๑๕ วัน ค่าเสียหายระหว่างรักษาพยาบาลไม่เกินวันละ ๕๐ บาท เป็นเงินไม่เกิน ๗๕๐ บาท กับต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ๕๕,๘๙๕ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันละเมิดถึงวันฟ้อง ๔,๑๙๒.๑๒ บาท รวม ๖๐,๐๘๗.๑๒ บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน ๖๐,๑๘๗.๑๒ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ใช้ดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน ๕๕,๘๙๕ บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๓ และค่าเสียหายที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้เป็นเงิน ๕๕,๘๙๕ บาทเหมาะสมแล้ว แล้ววินิจฉัยข้อกฎหมายว่าที่จำเลยที่ ๓ ฎีกาว่า จำเลยที่ ๓ ได้ให้การปฏิเสธฟ้องของโจทก์ที่กล่าวอ้างว่าจำเลยที่ ๑ กระทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบว่าจำเลยที่ ๑ กระทำอย่างไรเป็นเหตุให้โจทก์เสียหาย แต่โจทก์ไม่นำสืบให้ชัดแจ้งเป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่า แม้จำเลยที่ ๓ จะให้การต่อสู้ไว้ดังกล่าวก็จริงแต่เมื่อศาลชั้นต้นชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดปัญหาข้อนี้เป็นประเด็นข้อพิพาทและจำเลยที่ ๓ ก็มิได้โต้แย้งคัดค้านไว้ ถือว่าจำเลยที่ ๓ ได้สละประเด็นข้อพิพาทนี้แล้ว เป็นปัญหาที่มิได้ว่ากันมาแต่ศาลชั้นต้นศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยและที่จำเลยที่ ๒ ฎีกาปัญหาเรื่องโจทก์ไม่ได้นำสืบถึงความประมาทของจำเลยที่ ๑ ให้ได้ความชัดแจ้งมาด้วย แต่จำเลยที่ ๒ ก็ฎีกามีใจความทำนองเดียวกับอุทธรณ์ฎีกาของจำเลยที่ ๒ มิได้โต้แย้งหรือคัดค้านว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ชอบหรือไม่ถูกต้องด้วยประการใด จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
ที่จำเลยที่ ๓ ฎีกาว่า แม้จำเลยที่ ๑ จะประมาท แต่ผู้ขับรถยนต์โดยสารก็มีส่วนร่วมประมาทด้วย การกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์ก็ควรให้ผู้ร่วมทำละเมิดร่วมรับผิดชอบด้วย ควรให้โจทก์ได้รับค่าเสียหายเพียงครึ่งเดียวปัญหานี้จำเลยที่ ๓ มิได้ให้การต่อสู้ไว้จึงเป็นปัญหาที่มิได้ว่ากันมาแต่ศาลชั้นต้น ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน