คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3483/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่ดินของโจทก์อยู่ในบริเวณที่ที่จะเวนคืนเพื่อสร้างทางพิเศษ การที่จำเลยที่ 1 กำหนดค่าทดแทนราคาที่ดินของโจทก์ตามราคาปานกลางที่กรมที่ดินประเมินเพื่อให้เป็นทุนทรัพย์สำหรับเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเป็นการไม่ชอบเพราะประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 290 ลงวันที่ 27 พฤศจิกายน 2515 ข้อ 23 ระบุให้นำบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยทางหลวงในส่วนที่ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างหรือขยายทางหลวงมาใช้บังคับโดยอนุโลมคือ ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 295 ลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2515 ข้อ 76 ซึ่งให้กำหนดราคาค่าทดแทนทรัพย์สินเท่าราคาของทรัพย์สินตามราคาธรรมดาที่ซื้อขายในท้องตลาดในวันที่พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนใช้บังคับ
จำเลยที่ 1 นำเงินค่าทดแทนราคาทรัพย์สินของโจทก์ไปวาง ณ สำนักงานวางทรัพย์กลาง แต่ไม่ยอมให้โจทก์รับเงินทั้งหมดไปในคราวเดียว โดยกำหนดเงื่อนไขการจ่ายเงินไว้ อ้างว่ามีอำนาจตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 295 ลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2515 ไม่ได้ เพราะประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 290 ลงวันที่ 27 พฤศจิกายน 2515 ซึ่งเป็นกฎหมายว่าด้วยทางพิเศษ ได้บัญญัติถึงอำนาจของเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ไว้โดยตรงแล้ว ไม่จำต้องนำประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 295 ซึ่งเป็นกฎหมายว่าด้วยทางหลวงมาใช้บังคับโดยอนุโลม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๙๔๔๕ แขวงทุ่งมหาเมฆเขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ ๒๐๓ ตารางวาพร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างรวม ๓ หลังเมื่อวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๑๗ ได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่เขตพญาไท เขตปทุมวัน เขตพระโขนง และเขตยานนาวา กรุงเทพมหานครเพื่อสร้างทางพิเศษสายดินแดง-ท่าเรือ โดยกำหนดให้จำเลยที่ ๒ เป็นเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ที่ดินโจทก์ดังกล่าวอยู่ในที่ที่จะเวนคืนด้วยจำนวน ๑๙๘ ตารางวาจำเลยที่ ๑ ได้กำหนดราคาที่ดินและทรัพย์สินของโจทก์ ที่ดินราคาตารางวาละ ๘,๐๐๐ บาท เป็นเงิน ๑,๕๘๔,๐๐๐ บาท บ้านและสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ ในที่ดินเป็นเงิน ๕๗๑,๙๑๕ บาท ๔๘ สตางค์ พืชผลไม้เป็นเงิน ๕,๔๗๗ บาท รวมเป็นค่าทดแทนทั้งสิ้น ๒,๑๖๑,๓๙๒ บาท ๔๘ สตางค์ ซึ่งมิใช่ราคาทรัพย์สินที่ซื้อขายในท้องตลาดไม่ชอบด้วยประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๒๙๕ ลงวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๑๕ ข้อ ๗๖ โจทก์โต้แย้งว่า ค่าทดแทนที่ดินถูกเขตทางพิเศษ ๑๙๘ ตารางวาเหลือเพียง ๕ ตารางวา ใช้ทำประโยชน์ไม่ได้ ให้จำเลยทั้งสองรับเวนคืนไปทั้งหมด ๒๐๓ ตารางวา ราคาตารางวาละ ๑๕,๐๐๐ บาท เป็นเงิน ๓,๐๔๕,๐๐๐ บาท สิ่งก่อสร้างและพืชผลไม้ในที่ดินเป็นเงิน ๑,๑๘๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นค่าทดแทน ๔,๒๒๕,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๒ แจ้งให้โจทก์รับเงินค่าทดแทนจำนวน ๒,๑๖๑,๓๙๒ บาท ๔๘ สตางค์ โจทก์ไม่ยอมรับ จำเลยที่ ๒ นำเงินจำนวนดังกล่าวไปวาง ณ สำนักงานวางทรัพย์กลาง กำหนดเงื่อนไขการจ่ายเงินโดยไม่ให้โจทก์รับเงินทั้งหมดได้ทันที โจทก์รับเงินค่าทดแทนได้เพียงบางส่วนเป็นเงิน ๑,๐๘๓,๔๓๔ บาท ๗๔ สตางค์ โจทก์แจ้งให้จำเลยที่ ๒ ถอนเงื่อนไขการจ่ายเงิน จำเลยที่ ๒ เพิกเฉย ต่อมาจำเลยที่ ๒ ยอมให้โจทก์รับเงินที่เหลือไปได้ การที่จำเลยที่ ๒ กำหนดเงื่อนไขการจ่ายเงินโดยไม่มีอำนาจทำให้โจทก์เสียหาย เพราะรับเงินค่าทดแทนทั้งหมดไม่ได้คิดค่าเสียหายเป็นดอกเบี้ยของจำนวนเงินที่เหลือขณะรับไปไม่ได้ ๑,๐๗๗,๙๕๗ บาท ๗๔ สตางค์นับแต่วันวางเงินถึงวันที่โจทก์รับเงินดังกล่าวได้ เป็นเงิน ๔๓,๗๙๒ บาท ๐๒ สตางค์ โจทก์ได้รับเงินค่าทดแทน รวมค่าทดแทนราคาที่ดินอีก ๕ ตารางวา ซึ่งจำเลยนำไปวาง ณ สำนักงานวางทรัพย์กลางภายหลังจำนวน ๔๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๒,๒๐๑,๓๙๒ บาท ๔๘ สตางค์ ยังขาดเงินที่โจทก์ควรจะได้อีก ๒,๐๒๓,๖๐๗ บาท ๕๒ สตางค์กับค่าเสียหายจำนวน ๔๓,๗๙๒ บาท ๐๒ สตางค์ รวมเป็นเงิน ๒,๐๖๗,๓๙๙ บาท ๕๔ สตางค์ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การทำนองเดียวกันว่า ที่ดินโจทก์ที่ถูกเขตทางพิเศษ ๑๙๘ ตารางวา ราคาตารางวาละ ๘,๐๐๐ บาท เป็นเงิน ๑,๕๘๔,๐๐๐ บาท สิ่งก่อสร้างในที่ดินและพืชผลไม้เป็นเงิน ๕,๔๓๗ บาท ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ ได้คิดคำนวณตามราคาที่ซื้อขายในท้องตลาด ณ วันที่พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินบริเวณที่ที่จะเวนคืนประกาศใช้บังคับ ทั้งนี้ตามนัยแห่งประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ ๒๙๕ ลงวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๑๕ ข้อ ๗๖ เจ้าของทรัพย์สินอื่นในบริเวณเดียวกับโจทก์ส่วนใหญ่พอใจตกลงกับจำเลยที่ ๑ ในอัตราดังกล่าว เมื่อโจทก์ไม่ตกลง จำเลยที่ ๑ ได้นำเงินจำนวนดังกล่าวไปวาง ณ สำนักงานวางทรัพย์กลาง โจทก์รับไปครบถ้วนแล้ว จำเลยที่ ๑ มีอำนาจกำหนดเงื่อนไขการวางเงิน เนื่องจากที่ดินโจทก์ไม่ถูกเวนคืนทั้งโฉนด จะคำนวณค่าทดแทนได้ก็ต่อเมื่อรังวัดแบ่งแยกเสร็จ จำเลยที่ ๑ คำนวณค่าทดแทนสำหรับสิ่งก่อสร้างโดยรวมค่ารื้อถอนขนย้ายไว้ด้วย หากโจทก์รับเงินแล้วไม่รื้อถอน จำเลยที่ ๑ ต้องรื้อถอนเอง จึงต้องกำหนดเงื่อนไขให้โจทก์รับเงินไปครึ่งหนึ่งก่อน ส่วนที่เหลือให้ได้เมื่อรื้อถอน จำเลยที่ ๑ มีอำนาจครอบครอง ใช้รื้อถอนอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์โดยไม่ต้องนำเงินค่าทดแทนไปวางโจทก์ไม่มีสิทธิคิดค่าเสียหายเป็นดอกเบี้ยจำนวนเงิน ๔๓,๗๙๒ บาท ๐๒ สตางค์ จำเลยที่ ๒ กระทำการตามอำนาจหน้าที่โดยสุจริตและเป็นธรรมโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ ๒ รับผิดเป็นส่วนตัวไม่ได้ โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ ๒ ปฏิบัตินอกเหนือหรือผิดจากหน้าที่ฟ้องโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ ๒ เคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ ให้ค่าทดแทนราคาที่ดินต่ำไป การที่จำเลยกำหนดเงื่อนไขการรับเงินค่าทดแทนเป็นการละเมิด พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ใช้เงินโจทก์ ๔๔๗,๕๓๐ บาท ๙๐ สตางค์ พร้อมดอกเบี้ย ให้จำเลยที่ ๒ ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ใช้ค่าเสียหาย ๔๑,๕๓๐ บาท ๙๐ สตางค์ พร้อมดอกเบี้ย
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้จำเลยที่ ๑ ใช้เงินค่าทดแทนสิ่งปลูกสร้าง (เพิ่มขึ้นอีก) จำนวน ๑๖๕,๐๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ย ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒
โจทก์และจำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จำเลยที่ ๑ กำหนดค่าทดแทนราคาที่ดินที่ถูกเวนคืนของโจทก์ตามราคาปานกลางที่กรมที่ดินประเมินเพื่อใช้เป็นทุนทรัพย์สำหรับเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเป็นการไม่ชอบ เพราะประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๒๙๐ ลงวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๑๕ ข้อ ๒๓ ระบุให้นำบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยทางหลวงในส่วนที่ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างหรือขยายทางหลวงมาใช้บังคับโดยอนุโลม คือประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๒๙๕ ลงวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๑๕ ข้อ ๗๖ ซึ่งได้กำหนดราคาค่าทดแทนทรัพย์สินเท่าราคาทรัพย์สินตามราคาธรรมดาที่ซื้อขายในท้องตลาด ในวันที่พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนใช้บังคับ ที่ดินข้างเคียงกับที่ดินที่ถูกเวนคืนของโจทก์ราคาตารางวาละ ๑๒,๐๐๐ บาท เป็นราคาซื้อขายใกล้เคียงกับวันที่พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวใช้บังคับ แต่ที่ดินดังกล่าวอยู่ในทำเลที่ดีกว่าที่ดินของโจทก์การที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดเงินค่าทดแทนราคาที่ดินของโจทก์ตารางวาละ ๑๐,๐๐๐ บาทจึงเหมาะสมและชอบธรรมแล้วส่วนเงินค่าทดแทนราคาตึก ๒ ชั้นของโจทก์ปรากฏว่าสิ่งปลูกสร้างของผู้อื่นที่ถูกเวนคืนและอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับที่ดินโจทก์แต่เล็กกว่าตึกของโจทก์ ได้รับเงินค่าทดแทนมากกว่านั้น เป็นตึกที่มั่นคง ลงทุนในการก่อสร้างมากกว่า และใหม่กว่าตึกโจทก์ ค่าทดแทนที่จำเลยที่ ๑ กำหนดจึงชอบธรรมและเหมาะสมแล้ว การที่จำเลยที่ ๑ นำเงินค่าทดแทนราคาทรัพย์สินของโจทก์ไปวาง ณ สำนักงานวางทรัพย์กลางแต่ไม่ยอมให้โจทก์รับเงินไปทั้งหมดในคราวเดียวกันโดยกำหนดเงื่อนไขการรับเงินไว้ว่าโจทก์จะมีสิทธิรับเงินที่เหลือได้ต่อเมื่อรังวัดแบ่งแยกโฉนด และคำนวณค่าทดแทนให้แน่นอนก่อน โดยอ้างว่ามีอำนาจตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๒๙๕ ลงวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๑๕ เป็นการไม่ชอบ เพราะประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๒๙๐ ลงวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๑๕ ได้บัญญัติถึงอำนาจของเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นกฎหมายว่าด้วยทางพิเศษโดยตรงแล้ว สำหรับดอกเบี้ยค่าทดแทนที่ศาลพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระเพิ่มแก่โจทก์โจทก์ย่อมมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในเงินนี้ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๑๘ ซึ่งเป็นวันที่พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ที่จะเวนคืนใช้บังคับตามความในประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๒๙๐ ลงวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๑๕ ข้อ ๒๔และข้อ ๒๖ แต่ตามคำขอท้ายฟ้องโจทก์ขอให้จำเลยที่ ๑ ชำระดอกเบี้ยนับแต่วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๒๒ ซึ่งเป็นวันฟ้อง ศาลจึงพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระดอกเบี้ยนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ที่คิดว่าจะเวนคืนใช้บังคับไม่ได้ เพราะเป็นการเกินคำขอ
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ ๑ ไม่ต้องใช้เงินค่าทดแทนสิ่งปลูกสร้างจำนวน ๑๖๕,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share