คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2404/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สิทธิเรียกร้องเงินบำเหน็จบำนาญของจำเลยซึ่งเดิมเป็นทหารประจำการที่มีต่อกระทรวงกลาโหม ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี

ย่อยาว

เดิมโจทก์ฟ้องหย่า แล้วโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันมีสารสำคัญว่า โจทก์จำเลยตกลงหย่าขาดจากกัน จำเลยยอมแบ่งเงินเบี้ยหวัดหรือเงินที่จะได้รับจากกระทวงกลาโหมให้แก่บุตรครึ่งหนึ่ง โดยให้โจทก์เป็นผู้ไปรับแทน ศาลพิพากษาคดีไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น
ต่อมาโจทก์ยื่นคำขอลงวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๘ ว่า กระทรวงกลาโหมไม่ยอมจ่ายเงินตามยอมให้บุตรโจทก์ ขอให้บังคับคดี
ศาลจังหวัดธัญญบุรีออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีให้ยึดเงินบำนาญตกเบิกกับเงินบำเหน็จรายเดือนครึ่งหนึ่ง ซึ่งจำเลยมีสิทธิได้รับจากกระทรวงกลาโหม ศาลจังหวัดธัญญบุรีส่งหมายให้ศาลแพ่งดำเนินการบังคับคดีแทน
ศาลแพ่งแจ้งมายังศาลจังหวัดธัญญบุรีว่า ทรัพย์ที่ขอให้ยึดเป็นบำนาญและบำเหน็จไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี
ศาลจังหวัดธัญญบุรีมีคำสั่งว่า เมื่อศาลแพ่งไม่ยอมยึดทรัพย์ให้ ก็ให้ยกคำขอฉบับลงวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๘ ของโจทก์เสีย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นพ้องกับคำวินิจฉัยขอศาลอุทธรณ์ว่า เดิมจำเลยเป็นพลทหารประการ จำเลยจึงเป็นข้าราชการ ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ๒๔๙๔ มาตรา ๔ ดังนั้นสิทธิเรียกร้องเงินบำเหน็จบำนาญของจำเลยที่มีต่อกระทรวงกลาโหม จึงไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๘๖(๒) โจทก์จะออกหมายบังคับคดียึดเงินดังกล่าวหาได้ไม่
พิพากษายืน
(กฤษณ์ โสภิตกุล สุมิตร ฟักทองพรรณ ชุบ วีระเวคิน)

Share