คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1667/2503

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บรรยายฟ้อง 5 ข้อ ว่าด้วยการสมคบกันปลอมหนังสือและฉ้อโกงทรัพย์ แม้ในฟ้องข้อ 2-3-4 จะไม่ได้ระบุถึงชื่อของจำเลยที่ 3 ด้วยเลย แต่ในฟ้องข้อ 1 กับข้อ 5 ได้ระบุไว้ว่าจำเลยที่ 3 ได้ร่วมสมคบในการนั้นด้วย โดยได้ร่วมมือและแบ่งแยกหน้าที่กันทำ มีการคบคิดกันมาแต่ต้น แล้วได้กระทำด้วยความร่วมมือเกี่ยวโยงกันแต่ต้นจนสำเร็จ ฟ้องดังนี้ได้แสดงรายละเอียดพอให้จำเลยที่ 3 เข้าใจข้อหาทั้งหมดนั้นได้ดีแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า

1. จำเลยทั้ง 3กับพวกที่ยังหลบหนี บังอาจสมคบกันทำผิดโดยได้ร่วมมือและแบ่งแยกหน้าที่กันกระทำคือ จำเลยที่ 1 บังอาจใช้อุบายโดยทุจริตหลอกลวงผู้เสียหาย โดยแสดงข้อความเท็จว่าจะซื้อที่นาของผู้เสียหาย ผู้เสียหายหลงเชื่อตกลงขายแล้วจำเลยที่ 1 กล่าวเท็จหลอกลวงขอยืมโฉนดไปให้หุ้นส่วนดู ซึ่งความจริงจำเลยที่ 1 ไม่ได้ประสงค์จะซื้อที่ดิน และไม่มีผู้ใดต้องการดูโฉนด ผู้เสียหายหลงเชื่อมอบโฉนดให้ไป

2. ต่อมาจำเลยที่ 1 สมคบกับพวกที่หลบหนีปลอมหนังสือโดยกรอกข้อความในแบบพิมพ์หนังสือมอบอำนาจที่พวกของจำเลยได้หลอกลวงให้ผู้เสียหายลงลายพิมพ์นิ้วมือไว้ก่อนแล้ว ได้กรอกข้อความว่า มอบอำนาจให้นายเลาะมีอำนาจขายที่ดินแก่จำเลยที่ 1

3. จำเลยที่ 1 ได้นำใบมอบอำนาจดังกล่าวใน ข้อ 2 ไปให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นปลัดอำเภอรับรองว่าเป็นลายพิมพ์นิ้วมือของผู้มอบอำนาจ จำเลยที่ 2 ก็รับรองให้โดยที่ไม่ทราบว่าใช่หรือไม่ แต่ได้กระทำไปโดยเจตนาจะร่วมมือกับจำเลยที่ 1 ในการนำเอาใบมอบอำนาจนั้นไปแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดิน เพื่อสะดวกแก่การโอนที่ดินของผู้เสียหาย ซึ่งเป็นการปลอมหนังสือและฉ้อโกงทรัพย์

4. ต่อมาจำเลยที่ 1 กับพวกที่หลบหนีนำใบมอบอำนาจปลอมนั้นไปใช้แสดงแก่เจ้าพนักงานที่ดิน ขอโอนโดยพวกของจำเลยที่ 1 นั้นได้แจ้งแสดงตัวว่าเป็นนายเลาะผู้รับมอบอำนาจ เจ้าพนักงานหลงเชื่อจัดการโอนทะเบียนให้แก่จำเลยที่ 1

5. วันเวลาเดียวกับข้อ 4 เพื่อให้ผู้เสียหายหมดทางเอาที่ดินคือจำเลยที่ 3 ซึ่งได้คบคิดกันมาแต่ต้น ได้มาจดทะเบียนเป็นผู้รับซื้อฝากจากจำเลยที่ 1 ในทันทีทันใดที่จำเลยที่ 1 ได้โอนที่ดินมาเป็นของตน

การกระทำของจำเลยที่ 1-2-3 และผู้ที่หลบหนีดังกล่าวในฟ้องทั้ง 5 ข้อนี้ ได้กระทำด้วยความร่วมมือเกี่ยวโยงกันมาแต่ต้นจนสำเร็จเป็นผลให้ผู้เสียหายได้รับความเสียหาย ขอให้ลงโทษฐานสมคบกันฉ้อโกงและปลอมหนังสือ

จำเลยทั้ง 3 ให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยทั้ง 3 ตามฟ้อง

จำเลยฎีกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งจำเลยที่ 3 ฎีกาว่าฟ้องโจทก์ไม่สมบูรณ์เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 เพราะในฟ้องข้อ 1 ถึง ข้อ 4 ไม่ได้กล่าวพาดพิงมาถึงจำเลยที่ 3 เลย ไม่พอทำให้เข้าใจว่าต้องหาด้วย

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้ในฟ้องข้อ 2 และ 4 จะไม่ได้ระบุชื่อจำเลยที่ 3 ไว้ด้วยก็ตาม แต่ในฟ้องข้อ 1 ได้บรรยายรวม ๆ ไว้ว่าจำเลยทั้ง 3 กับพวกที่หลบหนีได้บังอาจสมคบกันทำผิด โดยได้ร่วมมือและแบ่งแยกหน้าที่กันกระทำ และในฟ้องข้อ 5 ก็ได้บรรยายสรุปไว้อีกว่า จำเลยที่ 3 ซึ่งได้คบคิดกันมาแต่ต้น ได้กระทำด้วยความร่วมมือเกี่ยวโยงกันมาแต่ต้นจนสำเร็จฉะนั้น ฟ้องเช่นนี้เป็นการเพียงพอให้จำเลยที่ 3 เข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว พิพากษายืน

Share