แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การโอนโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างกระทรวงกลาโหม สังกัดกรมการพลังงานทหาร ไปเป็นพนักงานของจำเลยตามพระราชบัญญัติการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2521 มาตรา 60 ถือเป็นการให้ออกจากงานเดิมเพราะเหตุยุบตำแหน่งหรือเลิกจ้างโดยไม่มีความผิด และไม่นับอายุการทำงานติดต่อกัน
จำเลยเป็นรัฐวิสาหกิจ การบรรจุหรือแต่งตั้งบุคคลใดเป็นพนักงานของจำเลย ต้องอยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2518 มาตรา 9 (1) ที่กำหนดว่าพนักงานรัฐวิสาหกิจต้องมีคุณสมบัติเป็นผู้มีสัญชาติไทย โจทก์ไม่มีสัญชาติไทยจึงขาดคุณสมบัติที่จะเป็นพนักงานของจำเลย และกรณีไม่เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 9 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวที่จำเลยจะต้องจ้างโจทก์เพราะความจำเป็นตามลักษณะงานของจำเลย โจทก์จึงต้องพ้นจากตำแหน่งตาม มาตรา 11 (3) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุขาดคุณสมบัติดังกล่าวจึงไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ทั้งไม่ใช่กรณีเลิกจ้างที่จะต้อง บอกกล่าวล่วงหน้า และจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์ โจทก์คงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยและเงินบำเหน็จจากจำเลยโดยคำนวณจากอายุการทำงานในช่วงที่เป็นพนักงานของจำเลยเท่านั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า การที่โจทก์ได้รับโอนจากกรมการพลังงานทหารกระทรวงกลาโหมไปเป็นพนักงานของจำเลย จะต้องนับอายุการทำงานติดต่อกัน จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุขาดคุณสมบัติเป็นผู้มีสัญชาติไทยเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ขอให้เพิกถอนคำสั่งเลิกจ้าง ให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานตามเดิมและจ่ายผลประโยชน์ระหว่างที่ถูกเลิกจ้างแก่โจทก์ หากรับกลับเข้าทำงานไม่ได้ให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย เงินบำเหน็จ พร้อมดอกเบี้ยกับค่าเสียหายให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า การให้โจทก์มาทำงานกับจำเลยชั่วคราวจะต้องเริ่มนับอายุการทำงานใหม่ โจทก์ไม่มีสัญชาติไทยจึงขาดคุณสมบัติการเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ จำเลยให้โจทก์ออกจากงานเพราะเหตุดังกล่าวจึงไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า และไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ทั้งโจทก์ไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลยจึงไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชย เงินบำเหน็จ และดอกเบี้ย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า การโอนโจทก์มาเป็นลูกจ้างของจำเลยจะต้องนับอายุการทำงานติดต่อกัน การเลิกจ้างโจทก์ไม่ใช่การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย และเงินบำเหน็จพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ที่โจทก์อุทธรณ์ประการแรกตามข้อ ๒.๑ ว่า เดิมโจทก์เป็นลูกจ้างของบริษัทซัมมิท จำกัด โดยได้รับใบอนุญาตทำงานตามเอกสารหมาย จ.๔ แล้วโอนมาเป็นลูกจ้างสังกัดกรมการพลังงานทหารกระทรวงกลาโหม ซึ่งหมายความว่า โจทก์ได้ผ่านการพิจารณาจากทางราชการกระทรวงกลาโหมให้โจทก์มีสิทธิและหน้าที่เช่นเดียวกับลูกจ้างอื่นที่มีสัญชาติไทยที่ได้รับสิทธิโอนเข้าเป็นลูกจ้างของจำเลย ตามพระราชบัญญัติการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๑ มาตรา ๖๐ โจทก์จึงได้รับความคุ้มครองที่จะต้องโอนไปเป็นลูกจ้างของจำเลยไม่ว่าโจทก์จะมีสัญชาติไทยหรือไม่ พิเคราะห์แล้วพระราชบัญญัติการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๑ มาตรา ๖๐ ที่แก้ไขแล้วบัญญัติว่า “ให้โอนบรรดาข้าราชการและลูกจ้างของกระทรวงกลาโหมที่อยู่ในสังกัดกรมการพลังงานทหารและโรงกลั่นน้ำมันตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกำหนดไปเป็นของ ปตท. ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา แต่ต้องไม่เกินเจ็ดปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
เมื่อได้มีประกาศของรัฐมนตรีตามวรรคหนึ่งแล้ว ให้ข้าราชการและลูกจ้างซึ่งโอนไปตามวรรคหนึ่งมีฐานะเป็นพนักงานหรือลูกจ้างของ ปตท. แล้วแต่กรณีตั้งแต่วันที่กำหนดในประกาศนั้น โดยให้ได้รับเงินเดือนหรือค่าจ้างรวมทั้งสิทธิและประโยชน์ต่าง ๆ เท่าที่เคยได้รับอยู่เดิมจนกว่าผู้ว่าการจะได้บรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ฯลฯ”
จากบทบัญญัติดังกล่าว เมื่อข้าราชการหรือลูกจ้างของกระทรวงกลาโหมในสังกัดกรมการพลังงานทหาร และโรงกลั่นน้ำมันที่ได้โอนมาตามความในวรรคหนึ่งแล้ว ก็ย่อมมีฐานะเป็นพนักงานหรือลูกจ้างของจำเลยต่อไป ซึ่งเป็นการโอนโดยผลของกฎหมาย แต่โดยที่จำเลยเป็นรัฐวิสาหกิจ ดังนั้น ในการบรรจุหรือแต่งตั้งให้บุคคลใดเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจซึ่งหมายความรวมถึงลูกจ้างด้วยนั้น จะต้องตกอยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๑๘ ซึ่งกำหนดคุณสมบัติของพนักงานรัฐวิสาหกิจไว้ในมาตรา ๙ ว่า “พนักงานของรัฐวิสาหกิจนอกจากต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กำหนดไว้สำหรับรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ แล้ว ยังต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้ด้วย
(๑) มีสัญชาติไทย ฯลฯ” ดังนั้น เมื่อโจทก์มิได้มีสัญชาติไทย โจทก์จึงตกเป็นผู้ขาดคุณสมบัติที่จะเป็นพนักงานหรือลูกจ้างของจำเลยได้ โจทก์จะอ้างว่าโจทก์ได้รับความคุ้มครองที่จะต้องโอนไปเป็นลูกจ้างของจำเลย ไม่ว่าโจทก์จะมีสัญชาติไทยหรือไม่นั้นหาได้ไม่ ที่โจทก์อุทธรณ์ต่อไปว่า กรณีของโจทก์ยังต้องด้วยข้อยกเว้นตามความในมาตรา ๙ วรรคสองนั้น ความในมาตรา ๙ วรรคสองของพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวมีความว่า “ความใน (๑) มิให้ใช้บังคับแก่พนักงานชาวต่างประเทศซึ่งรัฐวิสาหกิจมีความจำเป็นต้องจ้างตามลักษณะงานของรัฐวิสาหกิจนั้น ฯลฯ” ซึ่งมีความหมายว่ารัฐวิสาหกิจผู้เป็นนายจ้างได้พิจารณาถึงความจำเป็นของลักษณะงานที่จะต้องจ้างพนักงานที่มิได้มีสัญชาติไทยให้ปฏิบัติงานของรัฐวิสาหกิจนั้นโดยเฉพาะแล้ว รัฐวิสาหกิจก็อาจพิจารณาจ้างผู้ที่มิได้มีสัญชาติไทยเข้าเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจเพื่อประโยชน์ของงานในลักษณะนั้นได้โดยไม่ต้องห้ามตามมาตรา ๙ (๑) สำหรับกรณีของโจทก์ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้เล็งเห็นและได้พิจารณาถึงความจำเป็นที่จะต้องจ้างโจทก์ตามลักษณะงานดังกล่าวแต่อย่างใด และการโอนโจทก์มาเป็นลูกจ้างของจำเลยตามพระราชบัญญัติการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๑ ก็หาได้อ้างถึงความจำเป็นที่จะต้องจ้างโจทก์เป็นพิเศษไว้ไม่ เมื่อโจทก์เป็นบุคคลที่ไม่มีสัญชาติไทยและไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นดังกล่าว โจทก์จึงต้องพ้นจากตำแหน่งตามพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๑๑ (๓) จำเลยจึงมีสิทธิให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งโดยการเลิกจ้างได้ มิใช่เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมดังข้ออุทธรณ์ของโจทก์ เมื่อวินิจฉัยเช่นนี้ กรณีก็ไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ในปัญหาที่ว่า จำเลยจะนำข้อบังคับการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ฉบับที่ ๔ (พ.ศ. ๒๕๒๓) ว่าด้วย การบรรจุ การแต่งตั้ง การเรียกประกัน การเลื่อนขั้นเงินเดือน และค่าจ้าง และการถอดถอนพนักงานและลูกจ้าง มาใช้บังคับในการเลิกจ้างโจทก์ได้หรือไม่นั้นต่อไป
โจทก์อุทธรณ์ประการต่อไปตามข้อ ๒.๒ ว่า การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุโจทก์ไม่มีสัญชาติไทย กรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๘๓ จำเลยจึงต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์ตามมาตรา ๕๘๒ พิเคราะห์แล้วประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๘๒ บัญญัติว่า “ถ้าคู่สัญญาไม่ได้กำหนดลงไว้ในสัญญาว่าจะจ้างกันนานเท่าไร ท่านว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเลิกสัญญาด้วยการบอกกล่าวล่วงหน้าในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวใดคราวหนึ่ง เพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปข้างหน้าก็อาจทำได้ แต่ไม่จำต้องบอกกล่าวล่วงหน้ากว่าสามเดือน ฯลฯ” เป็นบทบัญญํติเรื่องการบอกกล่าวเลิกจ้างล่วงหน้าเกี่ยวกับระยะเวลาการจ้าง ส่วนการกำหนดคุณสมบัติของพนักงานรัฐวิสาหกิจที่ว่า พนักงานรัฐวิสาหกิจจะต้องมีสัญชาติไทยตามพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๙ (๑) นั้น เป็นบทกฎหมายที่กำหนดคุณสมบัติของบุคคลที่จะเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจไว้โดยเฉพาะ มิได้เกี่ยวกับระยะเวลาการจ้าง กรณีเช่นนี้จะนำบทบัญญัติมาตรา ๕๘๒ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้บังคับแก่การเลิกจ้างเพราะเหตุขาดคุณสมบัติดังกล่าวมิได้ ดังนั้น เมื่อโจทก์เป็นผู้ขาดคุณสมบัติโดยไม่มีสัญชาติไทย จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าและไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์ อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
สำหรับอุทธรณ์ของจำเลยประการแรกตามข้อ (๑) มีว่า การนับอายุการทำงานของโจทก์ ได้มีพระราชบัญญัติการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๑ มาตรา ๖๐ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๓ มาตรา ๕ บัญญัติไว้โดยเฉพาะซึ่งไม่อาจนับอายุการทำงานเดิมติดต่อกับอายุการทำงานกับจำเลยได้ พิเคราะห์แล้ว พระราชบัญญัติการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๑ มาตรา ๖๐ บัญญัติว่า “ให้โอนบรรดาข้าราชการและลูกจ้างของกระทรวงกลาโหมที่อยู่ในสังกัดกรมการพลังงานทหารและโรงกลั่นน้ำมัน ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกำหนดไปเป็นของ ปตท. ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษาแต่ต้องไม่เกินเจ็ดปี นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
เมื่อได้มีประกาศของรัฐมนตรีตามวรรคหนึ่งแล้ว ให้ข้าราชการและลูกจ้างซึ่งโอนไปตามวรรคหนึ่งมีฐานะเป็นพนักงานหรือลูกจ้างของ ปตท. แล้วแต่กรณีตั้งแต่วันที่กำหนดในประกาศนั้น โดยให้ได้รับเงินเดือนหรือค่าจ้างรวมทั้งสิทธิและประโยชน์ต่าง ๆ เท่าที่เคยได้รับอยู่เดิมจนกว่าผู้ว่าการจะได้บรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง
การโอนข้าราชการตามวรรคหนึ่ง ให้ถือว่าเป็นการให้ออกจากประจำการเพราะเลิกหรือยุบตำแหน่งตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
การโอนลูกจ้างตามวรรคหนึ่ง ให้ถือว่าเป็นการให้ออกจากงานเพราะทางราชการยุบตำแหน่งหรือทางราชการเลิกจ้างโดยไม่มีความผิด และให้ได้รับบำเหน็จตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยบำเหน็จลูกจ้าง” ศาลฎีกาเห็นว่า ตามบทบัญญัติดังกล่าวไม่มีข้อความใดระบุไว้ว่า ให้นับอายุการทำงานของลูกจ้างของกระทรวงกลาโหมที่อยู่ในสังกัดกรมการพลังงานทหาร และโรงกลั่นน้ำมัน ติดต่อกับอายุการทำงานที่เป็นลูกจ้างของจำเลย แต่กลับให้ถือว่าเป็นการให้ออกจากงานเดิมเพราะเหตุยุบตำแหน่งหรือเลิกจ้างโดยไม่มีความผิดโดยให้ได้รับบำเหน็จตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยบำเหน็จลูกจ้าง ซึ่งแสดงว่าอายุการทำงานของลูกจ้างของกระทรวงกลาโหมในสังกัดกรมการพลังงานทหารและโรงกลั่นน้ำมันจึงเป็นอันสิ้นสุดลงในวันที่โอนมาเป็นพนักงานของจำเลย และลูกจ้างมีสิทธิได้รับบำเหน็จไปขึ้นตอนหนึ่ง หากจะให้ลูกจ้างที่โอนมาอยู่กับจำเลยมีสิทธินับอายุการทำงานติดต่อกันได้แล้ว ผลจะเป็นว่าลูกจ้างผู้นั้นมีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จจากจำเลยเพิ่มขึ้นตามอายุการทำงานเดิมนั้นอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นการซ้ำซ้อนกัน ดังนั้น โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างของกระทรวงกลาโหมในสังกัดกรมการพลังงานทหารและได้โอนมาเป็นลูกจ้างของจำเลย จึงไม่มีสิทธิขอให้นับอายุการทำงานติดต่อกันได้ อายุการทำงานของโจทก์จึงต้องนับตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๒๘ จนถึงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๒๘ เป็นเวลา ๗ เดือน ๒๐ วัน โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ ๑๖ (๑) ในค่าจ้างอัตราสุดท้ายสามสิบวันเป็นเงิน ๖,๘๔๘ บาท และเงินบำเหน็จตามข้อบังคับการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ฉบับที่ ๒๐ พ.ศ. ๒๕๒๔ ว่าด้วยกองทุนบำเหน็จ โจทก์มีอายุการทำงาน ๗ เดือน ๒๐ วัน ซึ่งให้คิดเป็น ๑ ปี จึงมีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จจำนวน ๖, ๘๔๘ บาท
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยจำนวน ๖,๘๔๘ บาท เงินบำเหน็จจำนวน ๖,๘๔๘ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี โดยให้คิดจากค่าชดเชยนับแต่วันเลิกจ้าง และคิดจากเงินบำเหน็จนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง