คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2151/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด การฟ้องคดีไม่จำเป็นต้องบรรยายมาในคำฟ้องด้วยว่า โจทก์มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการค้าอะไร เพราะวัตถุประสงค์ของโจทก์จะประกอบกิจการค้าอะไรมิใช่ข้อหาอันกฎหมายบังคับต้องบรรยายให้ชัดแจ้งตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 โจทก์บรรยายฟ้องข้อหาว่าจำเลยผิดสัญญาซื้อขายรวมทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหานั้นแล้ว ซึ่งจำเลยก็ให้การต่อสู้คดีได้ถูกต้องฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
สัญญาซื้อขายค่าความนิยมและกิจการซักรีด ไม่ใช่ตราสารหรือเอกสารตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์ในประมวลรัษฎากร ซึ่งกฎหมายบังคับให้ต้องปิดอากรแสตมป์จึงไม่ต้องปิดอากรแสตมป์และรับฟังเป็นพยานหลักฐานฟ้องคดีได้
โจทก์จำเลยมีข้อสัญญากันว่า หากจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่างวดติดต่อกัน 3 งวด โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาและจำเลยยินยอมเสียค่าปรับจำนวนหนึ่งกับชดใช้ค่าเสียหายทั้งสิ้นเมื่อจำเลยเป็นฝ่าย ผิดสัญญาโดยไม่ชำระหนี้ตามข้อตกลง โจทก์ก็มีสิทธิเลิกสัญญาจำเลยนอกจากที่จะต้องใช้ค่างวดที่ค้างชำระ และค่าซ่อมแซมทรัพย์สินอันเป็นค่าเสียหายส่วนหนึ่งแล้วจำเลยจะต้องเสียค่าปรับหรือเบี้ยปรับอันเป็นค่าเสียหาย อีกส่วนหนึ่งที่ตกลงกันไว้ล่วงหน้าตามข้อกำหนดในสัญญาด้วย แต่เมื่อศาลเห็นว่าเบี้ยปรับตามสัญญาส่วนนี้กำหนดไว้สูงไป ก็ชอบที่จะลดเบี้ยปรับลงได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์และจำเลยที่ ๒ เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด เมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๑๖ จำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาซื้อค่าความนิยมและกิจการซักรีดในแผนกพี.พี.ลอนดรี เซอร์วิส จากโจทก์ในราคา ๙๐๐,๐๐๐ บาท โดยตกลงผ่อนชำระเป็นรายเดือนเดือนละ ๑๕,๐๐๐ บาท หากจำเลยที่ ๑ ผิดนัดไม่ชำระราคาให้แก่โจทก์รวม ๒ เดือนติดต่อกันให้ถือว่าเป็นการเลิกสัญญาและจำเลยที่ ๑ ยอมชำระค่าปรับเป็นเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท และยินยอมใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์อีกด้วย ตามสัญญาโจทก์ยินยอมให้จำเลยที่ ๑ ใช้เครื่องมือเครื่องใช้และอุปกรณ์ตามรายการแนบท้ายสัญญารวมทั้งอาคารห้องซักรีด โดยจำเลยที่ ๑ ต้องซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพดีด้วยค่าใช้จ่ายของตนเองหากเลิกสัญญากันจำเลยที่ ๑ ต้องผ่อนชำระราคาตามสัญญาให้โจทก์จนถึงวันที่โจทก์เข้าครอบครองทรัพย์สินนั้นคืน และยอมให้เงินที่จำเลยที่ ๑ ผ่อนชำระไปแล้วเป็นของโจทก์ จำเลยที่ ๒ ได้ทำหนังสือค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญาของจำเลยที่ ๑ ในวงเงิน ๑๘๐,๐๐๐ บาท ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๑๗ โจทก์และจำเลยที่ ๑ ตกลงแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาซื้อขายข้อ ๗ เป็นว่า หากจำเลยผิดนัดในการผ่อนชำระเงินรวม ๓ งวดติดต่อกันให้ถือว่าสัญญาเลิกกัน จำเลยที่ ๑ ยอมเสียค่าปรับให้โจทก์เป็นเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท และยินยอมใช้ค่าเสียหายอันเกิดกับโจทก์ โดยโจทก์มีสิทธิเรียกร้องเงินตามหนังสือค้ำประกันของธนาคาร ๑๘๐,๐๐๐ บาท เป็นค่าเสียหายขั้นต้นได้ หลังจากทำสัญญาซื้อขายแล้ว โจทก์ได้ส่งมอบทรัพย์สินตามสัญญา ในสภาพที่มั่นคงแข็งแรงและใช้งานได้ดีปราศจากความชำรุดบกพร่องให้จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๑ ได้ดำเนินกิจการซักรีดในนามของพี.พี.ลอนดรี เซอร์วิสเรื่อยมา ต่อมาจำเลยที่ ๑ ผิดสัญญาไม่ชำระเงินตามสัญญารวม ๓ งวดติดต่อกัน ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายน ๒๕๑๗ โจทก์ทวงถามแล้วเพิกเฉย โจทก์จึงมีหนังสือบอกเลิกสัญญาไปยังจำเลยที่ ๑ และส่งสำเนาให้จำเลยที่ ๒ ทราบเพื่อให้ชำระหนี้ตามหนังสือค้ำประกัน จำเลยที่ ๑ ได้ใช้สอยเครื่องมือและทรัพย์สินของโจทก์ตามสัญญาชำรุดทรุดโทรมเสียหายทั้งไม่ดูแลรักษาปล่อยให้ตัวอาคารห้องซัก รีดกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ชำรุดเสียหาย และโจทก์ต้องชำระหนี้เกี่ยวกับการประกอบกิจการซักรีดเป็นธุรกิจในชื่อแผนกหนึ่งของโจทก์แทนจำเลยที่ ๑ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายคือ
๑. เงินที่จำเลยที่ ๑ ต้องผ่อนชำระให้โจทก์ตามสัญญา ค้างชำระตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๑๗ ซึ่งเป็นวันบอกเลิกสัญญาเป็นเงิน ๕๙,๐๐๐ บาท
๒. ค่าซ่อมทรัพย์สินตามรายการในเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๖ เป็นเงิน ๑๐๕,๕๙๖ บาท
๓. ค่าซ่อมห้องซักรีดและอุปกรณ์ตามรายการในเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๗ เป็นเงิน ๓๔,๖๙๑.๔๙ บาท
๔. ค่าปรับตามสัญญาเป็นเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท
โจทก์ทวงถามจำเลยทั้งสองแล้วเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยที่ ๑ ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน ๓๙๙,๒๘๗.๔๙ บาท กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง และให้จำเลยที่ ๒ ชำระหนี้ตามสัญญาค้ำประกันเป็นเงิน ๑๘๐,๐๐๐ บาท กับดอกเบี้ยในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง
จำเลยที่ ๑ ให้การว่าโจทก์จะเป็นนิติบุคคลและมีบุคคลตามที่กล่าวในฟ้องเป็นกรรมการหรือไม่ไม่ทราบไม่รับรอง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมไม่ได้กล่าวว่ามีวัตถุประสงค์ในการค้าอะไร ทำให้ไม่สามารถต่อสู้คดีได้จำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาตามที่โจทก์ฟ้องจริง แต่โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาเพราะโจทก์ส่งมอบเครื่องมือเครื่องใช้รายการที่ ๑, ๗ ตามรายการแนบท้ายสัญญาให้จำเลยที่ ๑ ซึ่งอยู่ในสภาพใช้การไม่ได้ และโจทก์มีสัญญาผูกพันอยู่กับสถาบันเทคโนโลยี่แห่งเอเซียยอมให้สถาบันดังกล่าวใช้ผ้าลินินของโจทก์และโจทก์เป็นผู้ซักรีด โจทก์ไม่มอบภาระตามสัญญาที่มีต่อสถาบันให้จำเลยที่ ๑ ซึ่งถือว่าเป็นกิจการและค่าความนิยมอย่างหนึ่งตามที่ตกลงซื้อขายกัน โจทก์ไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาเพราะจำเลยที่ ๑ ไม่ได้ผิดนัดชำระราคาครบ ๓ งวด โจทก์ไม่ยอมส่งมอบการดำเนินการรับเงินค่าจ้างซึ่งมีผลผูกพันกับสถาบันเทคโนโลยี่แห่งเอเซียให้กับจำเลยที่ ๑ โจทก์คงไปเก็บเงินค่าซักรีดจากสถาบันซึ่งเป็นกิจการที่จำเลยที่ ๑ เป็นผู้กระทำ เมื่อโจทก์รับเงินมาแล้ว ๔๘,๐๐๐ บาทไม่มอบให้จำเลยที่ ๑ จึงถือว่าเงินดังกล่าวหักเป็นค่างวด ๓ งวด ๔๕,๐๐๐ บาท โจทก์ยังต้องคืนเงินให้จำเลยที่ ๑ อีก ๓,๐๐๐ บาท ค่าซ่อมทรัพย์สินตามรายการในเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๖, ๗ ไม่เป็นความจริง ค่าปรับ ๒๐๐,๐๐๐ บาท โจทก์เรียกจากจำเลยที่ ๑ ไม่ได้ เพราะจำเลยที่ ๑ ไม่ได้ผิดสัญญาเหตุที่โจทก์ผิดสัญญาทำให้จำเลยที่ ๑ ได้รับความเสียหายคือ เงินค่างวดที่ส่งไปแล้ว ค่าเช่าซื้อรถยนต์ ค่าประกันวินาศภัยอาคาร และเงินที่โจทก์รับไว้ไม่จ่ายให้จำเลยที่ ๑ รวมเป็นเงินค่าเสียหาย ๓๑๖,๙๕๐ บาท จำเลยที่ ๑ ขอสงวนสิทธิที่จะฟ้องเรียกจากโจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การรับว่าเป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ ๑ เหตุที่จำเลยที่ ๒ ไม่จ่ายเงินตามภาระค้ำประกันให้แก่โจทก์ เพราะจำเลยที่ ๑ ขอให้ระงับไว้ก่อน โดยจำเลยที่ ๑ ยืนยันว่าไม่ได้ผิดสัญญา แต่โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา ซึ่งจำเลยที่ ๑ ได้บอกเลิกสัญญาไปแล้ว
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้อง ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุมจำเลยที่ ๑ ผิดสัญญา โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ จำเลยที่ ๑ ต้องรับผิดชำระเงินค่างวดที่ค้างชำระ ๕๙,๐๐๐ บาท ค่าซ่อมทรัพย์สิน ๑๐๔,๙๒๑ บาท และเบี้ยปรับ ๑๐๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๒๖๓,๙๒๑ บาท ส่วนจำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันตามสัญญาพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงิน ๒๖๓,๙๒๑ บาท กับดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระให้จำเลยที่ ๒ ชำระแทนเป็นเงิน ๑๘๐,๐๐๐ บาท กับดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน ๑๘๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ชำระเท่าที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความ ๓,๐๐๐ บาท
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วคดีมีประเด็นจะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ ๑ รวม ๔ ข้อ คือ
๑. ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่
๒. โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่
๓. จำเลยที่ ๑ ผิดสัญญาหรือไม่
๔. ค่าเสียหาย
ประเด็นข้อแรก จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่ได้บรรยายว่าโจทก์มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการค้าอะไร ทำให้ไม่อาจต่อสู้คดีได้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์ไม่จำเป็นต้องบรรยายมาในคำฟ้อง เพราะวัตถุประสงค์ของโจทก์จะประกอบกิจการค้าอะไรมิใช่ข้อหาอันกฎหมายบังคับต้องบรรยายให้ชัดแจ้งตามประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๒ คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องในข้อหาว่าจำเลยที่ ๑ ผิดสัญญาซื้อขายรวมทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหานั้นแล้ว ซึ่งจำเลยที่ ๑ ก็ให้การต่อสู้คดีได้ถูกต้องฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ประเด็นข้อสองโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ ศาลฎีกาฟังว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด บุคคลที่โจทก์กล่าวในฟ้องเป็นกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทโจทก์ จึงมีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์ได้ ส่วนข้อที่จำเลยฎีกาว่าสัญญาซื้อขายค่าความนิยมและกิจการซักรีดตามเอกสารหมาย จ.๒ และ จ.๔ มิได้ปิดอากรแสตมป์ให้ถูกต้องตามกฎหมายจะใช้เป็นพยานหลักฐานฟ้องคดีไม่ได้นั้นเห็นว่าสัญญาซื้อขายสองฉบับ ดังกล่าวไม่ใช่ตราสารหรือเอกสารตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์ในประมวลรัษฎากร ซึ่งกฎหมายบังคับให้ต้องปิดอากรแสตมป์ จึงไม่ต้องปิดอากรแสตมป์และรับฟังเป็นพยานหลักฐานฟ้องคดีนี้
ประเด็นข้อสามจำเลยที่ ๑ ผิดสัญญาหรือไม่ ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ ๑ ปฏิบัติผิดสัญญาโจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้
ส่วนประเด็นข้อสุดท้ายเรื่องค่าเสียหายนั้น ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันว่าให้จำเลยที่ ๑ รับผิดชำระค่างวดที่ค้างชำระ ๕๙,๐๐๐ บาท ค่าซ่อมทรัพย์สิน ๑๐๔,๙๒๑ บาท และเบี้ยปรับ ๑๐๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๒๖๓,๙๒๑ บาท จำเลยที่ ๑ ฎีกาโต้เถียงเฉพาะเบี้ยปรับว่ามิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา จะบังคับให้จำเลยที่ ๑ ชำระเบี้ยปรับไม่ได้ทั้งเบี้ยปรับสูงเกินส่วน ข้อนี้เมื่อฟังว่าจำเลยที่ ๑ เป็นฝ่ายผิดสัญญา และตามสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.๒ และ จ.๔ มีข้อสัญญาว่า หากจำเลยที่ ๑ ผิดนัดไม่ชำระเงินค่างวดติดต่อกัน ๓ งวด โจทก์จึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและจำเลยที่ ๑ ยินยอมเสียค่าปรับ ๒๐๐,๐๐๐ บาท กับชดใช้ค่าเสียหายทั้งสิ้น ฉะนั้น นอกจากค่างวดที่ค้างชำระและค่าซ่อมทรัพย์สินแล้ว จำเลยที่ ๑ จะต้องเสียค่าปรับหรือเบี้ยปรับอันเป็นค่าเสียหายส่วนหนึ่งที่ตกลงกันไว้ล่วงหน้าตามข้อกำหนดในสัญญาด้วย แต่เบี้ยปรับที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้ ๑๐๐,๐๐๐ บาทนั้น เป็นจำนวนสูงเกินไป ศาลฎีกาเห็นสมควรลดเบี้ยปรับลงให้จำเลยที่ ๑ ชำระเพียง ๒๐,๐๐๐ บาท ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๘๓
พิพากษาแก้เป็นว่า เฉพาะเบี้ยปรับให้จำเลยที่ ๑ ชำระ ๒๐,๐๐๐ บาท เมื่อรวมกับค่างวดที่ค้างชำระและค่าซ่อมแซมทรัพย์สินแล้วรวมเป็นเงิน ๑๘๓,๙๒๑ บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share