คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7046/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องซ้ำเป็นเรื่องที่ห้ามมิให้โจทก์จำเลยซึ่งฟ้องร้องกัน และศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดไปแล้วกลับมารื้อร้องฟ้องกันอีก ในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน โจทก์จำเลยไม่เคยฟ้องร้องกันมาก่อน เป็นแต่เคยถูก ส ฟ้องเป็นจำเลยด้วยกันในคดีแพ่งหมายเลยแดงที่ 1880/2529 ของศาลจังหวัดชลบุรีเท่านั้น ดังนั้น การที่โจทก์มาฟ้องจำเลยในคดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
ข้ออ้างของโจทก์ในคดีนี้เป็นเรื่องเดียวกับที่โจทก์และจำเลยถูก ส. ฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนหุ้นพิพาทและให้โอนหุ้นพิพาทคืนแก่ ส. คดีดังกล่าวโจทก์ซึ่งเป็นจำเลยที่ 4 และจำเลยคดีนี้ซึ่งเป็นจำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้ว่า จำเลยโอนหุ้นพิพาทให้โจทก์โดยสุจริต โจทก์จึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในหุ้นพิพาทเช่นเดียวกับข้ออ้างในคดีนี้อันมีประเด็นโดยตรงว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในหุ้นพิพาทหรือไม่ แม้ว่าในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1880/2529 ของศาลจังหวัดชลบุรี โจทก์และจำเลยคดีนี้จะเป็นจำเลยด้วยกันก็ตาม ก็ต้องถือว่าโจทก์และจำเลยเป็นคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลในคดีดังกล่าวด้วย ซึ่งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 คำพิพากษาย่อมผูกพันคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลทุกฝ่ายแม้จะเป็นฝ่ายเดียวกันก็ตาม เมื่อศาลจังหวัดชลบุรีได้มีคำพิพากษาว่ากรรมสิทธิ์ในหุ้นพิพาทเป็นของ ส ให้โจทก์และจำเลยโอนหุ้นพิพาทคืนให้แก่ ส ไปแล้ว โจทก์และจำเลยจึงต้องถูกผูกพันตามคำพิพากษาของศาลจังหวัดชลบุรีโดยผลของกฎหมาย ว่ากรรมสิทธิ์ในหุ้นพิพาทเป็นของ ส
จำเลยต้องโอนหุ้นพิพาทคืนให้แก่ ส. ตามคำพิพากษาของศาลจังหวัดชลบุรี การที่จำเลยได้โอนหุ้นพิพาท ให้แก่ ส. ตามคำพิพากษาดังกล่าว จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยได้โต้แย้งสิทธิโจทก์ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 โจทก์จึงไม่มี อำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนให้โจทก์เข้าเป็นผู้ถือหุ้นของจำเลยและออกใบหุ้นให้แก่โจทก์
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๘๘๐/๒๕๒๙ ของศาลจังหวัดชลบุรี พิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๓ ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า โจทก์และจำเลยในคดีนี้เคยถูกนายเสงี่ยม เสือเถื่อน เป็นโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนหุ้นที่จำเลยโอนหุ้นตามใบหุ้นเลขที่ ๙๑๓ ให้แก่โจทก์ ตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๘๘๐/๒๕๓๙ ของศาลจังหวัดชลบุรี ซึ่งคดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว โดยศาลจังหวัดชลบุรี พิพากษาให้เพิกถอนการโอนหุ้นตามใบหุ้นเลขที่ ๙๑๓ ระหว่างโจทก์ที่ ๒ (นายเสงี่ยม เสือเถื่อน) กับจำเลยที่ ๔ (โจทก์ในคดีนี้) และให้จำเลยที่ ๑ (จำเลยในคดีนี้) และจำเลยที่ ๔ (โจทก์ในคดีนี้) ดำเนินการโอนหุ้นคืนให้แก่โจทก์ที่ ๒ (นายเสงี่ยม เสือเถื่อน) หากไม่ดำเนินการโอนหุ้นให้แก่โจทก์ที่ ๒ (นายเสงี่ยม เสือเถื่อน) ก็ให้ถือเอาตามคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยในการโอนหุ้นดังกล่าวคืน ต่อมาจำเลยที่ ๑ (จำเลยในคดีนี้) ได้ออกใบหุ้นใหม่เลขที่ ๑๕๕๐ และโอนหุ้นดังกล่าวให้แก่โจทก์ที่ ๒ (นายเสงี่ยม เสือเถื่อน) แล้ว คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า ฟ้องของโจทก์ในคดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๘๘๐/๒๕๒๙ ของศาลจังหวัดชลบุรีหรือไม่ เห็นว่า ฟ้องซ้ำเป็นเรื่องที่ห้ามมิให้โจทก์จำเลยซึ่งฟ้องร้องกันและศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดไปแล้วกลับมารื้อร้องฟ้องกันอีก ในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน สำหรับคดีนี้โจทก์จำเลยไม่เคยฟ้องร้องกันมาก่อน เป็นแต่เคยถูกนายเสงี่ยม เสือเถื่อน ฟ้องเป็นจำเลยด้วยกันในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๘๘๐/๒๕๒๙ ของศาลจังหวัดชลบุรีเท่านั้น ดังนั้น การที่โจทก์มาฟ้องจำเลยในคดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ แต่อย่างไรก็ตาม ข้ออ้างของโจทก์ในคดีนี้เป็นเรื่องเดียวกับที่โจทก์และจำเลยถูกนายเสงี่ยม เสือเถื่อน ฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนหุ้นพิพาทและให้โอนหุ้นพิพาทคืนแก่นายเสงี่ยม เสือเถื่อน ในคดีดังกล่าวโจทก์คดีนี้เป็นจำเลยที่ ๔ และจำเลยคดีนี้เป็นจำเลยที่ ๑ ให้การต่อสู้ว่า จำเลยที่ ๑ (จำเลยคดีนี้) โอนหุ้นพิพาทให้แก่จำเลยที่ ๔ (โจทก์คดีนี้) โดยสุจริต จำเลยที่ ๔ (โจทก์คดีนี้) จึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในหุ้นพิพาทเช่นเดียวกับข้ออ้างในคดีนี้อันมีประเด็นโดยตรงว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในหุ้นพิพาทหรือไม่ แม้ว่าในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๘๘๐/๒๕๒๙ ของศาลจังหวัดชลบุรี โจทก์และจำเลยคดีนี้จะเป็นจำเลยด้วยกันก็ตาม ก็ต้องถือว่าโจทก์และจำเลยเป็นคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลในคดีดังกล่าวด้วย ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๕ คำพิพากษาย่อมผูกพันคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลทุกฝ่ายแม้จะเป็นฝ่ายเดียวกันก็ตาม เมื่อศาลจังหวัดชลบุรีได้มีคำพิพากษาว่ากรรมสิทธิ์ในหุ้นพิพาทเป็นของนายเสงี่ยม เสือเถื่อน ให้โจทก์และจำเลยคดีนี้โอนหุ้นพิพาทคืนให้แก่นายเสงี่ยม เสือเถื่อน ไปแล้ว โจทก์และจำเลยจึงต้องผูกพันตามคำพิพากษาของศาลจังหวัดชลบุรีโดยผลของกฎหมายว่ากรรมสิทธิ์ในหุ้นพิพาทเป็นของนายเสงี่ยม เสือเถื่อน และจำเลยต้องโอนหุ้นพิพาทคืนให้แก่นายเสงี่ยม เสือเถื่อน ตามคำพิพากษาดังกล่าว ดังนั้น การที่จำเลยต้องโอนหุ้นพิพาทคืนให้แก่นายเสงี่ยม เสือเถื่อน จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยได้ โต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๕ ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๕ ที่ศาลชั้นต้นยกฟ้องนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน จำเลยมิได้ยื่นคำแก้อุทธรณ์จึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นฎีกาให้

Share