คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1663-1664/2512

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีอาญานั้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 บัญญัติว่า “ฟ้องต้องทำเป็นหนังสือ และมี ฯลฯ (7) ลายมือชื่อโจทก์ผู้เรียง ผู้เขียนหรือพิมพ์ฟ้อง” ค่าว่า “โจทก์” มีบทวิเคราะห์ศัพท์ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(14) ว่า หมายความถึงพนักงานอัยการหรือผู้เสียหาย ซึ่งฟ้องคดีอาญาต่อศาล หรือทั้งคู่ในเมื่อพนักงานอัยการและผู้เสียหายเป็นโจทก์ร่วมกัน เมื่อโจทก์มิได้ลงชื่อในฟ้อง มีแต่ทนายความของโจทก์เป็นผู้ลงชื่อในฐานะโจทก์ คำฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องที่ศาลจะพึงรับไว้พิจารณา (อ้างฎีกา 618/2490)

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลพิจารณาพิพากษารวมกัน
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องว่า จำเลยขับรถด้วยความประมาทขาดความระมัดระวังชนโจทก์ที่ ๑ บาดเจ็บสาหัส และชนบุตรโจทก์ที่ ๒ ถึงแก่ความตาย ขอให้ลงโทษตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๑, ๓๐๐
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งว่าคดีมีมูลรับประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นไม่เชื่อว่าจำเลยเป็นคนขับรถยนต์คันเกิดเหตุ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์ทั้งสองสำนวนมิได้ลงชื่อในฟ้อง มีแต่ทนายโจทก์เป็นผู้ลงชื่อในฐานะโจทก์ฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวนจึงไม่เป็นฟ้องที่ควรรับพิจารณา พิพากษายืนในผลที่ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ทั้งสองสำนวนฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาเฉพาะข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาเห็นว่า คำฟ้องคดีอาญานั้นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘ บัญญัติว่า “ฟ้องต้องทำเป็นหนังสือ และมี ฯลฯ (๗) ลายมือชื่อโจทก์ ผู้เรียง ผู้เขียนหรือพิมพ์ฟ้อง” ค่าว่า “โจทก์” มีบทวิเคราะห์ศัพท์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒(๑๔) ว่า หมายความถึงพนักงานอัยการหรือผู้เสียหายซึ่งฟ้องคดีอาญาต่อศาล หรือทั้งคู่ในเมื่อพนักงานอัยการและผู้เสียหายเป็นโจทก์ร่วมกัน คดีนี้ นางปิ่นคำ จอมวงศ์ เป็นโจทก์สำนวนหนึ่ง นายอินทรีย์ ช่วยแก้ไข เป็นโจทก์อีกสำนวนหนึ่ง แต่บุคคลทั้งสองมิได้ลงชื่อในคำฟ้อง แต่นายจีระเดช ลิมปนานทท์ ทนายความของโจทก์เป็นผู้ลงชื่อในฐานะโจทก์ คำฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องที่ศาลจะพึงรับไว้พิจารณา (อ้างฎีกา ๖๑๘/๒๔๙๐)
พิพากษายืน ยกฎีกาโจทก์

Share