แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลเห็นว่าพะยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบพอฟังเป็นยุติได้ว่า คดีโจทก์ไม่เป็นความจริง ก็มีอำนาจงดสืบพะยานต่อไปได้
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยให้คืนที่ดินให้โจทก์ โดยอ้างว่าเป็นที่ดินของโจทก์ เมื่อคดีโจทก์ฟังไม่ได้ว่าเป็นความจริง แม้จะมีกฎหมายว่าด้วยที่ดินคนต่างด้าว ฯ ใช้อยู่และตัวจำเลยเป็นคนต่างด้าวก็ไม่เป็นเหตุให้ศาลบังคับจำเลยคืนที่ดินให้โจทก์ได้.
ย่อยาว
ได้ความว่า โจทก์ฟ้องขอไถ่คืนที่นามือเปล่าซึ่งประกันเงินกู้และให้จำเลยทำต่างดอกเบี้ย จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์ได้ขายนาดังกล่าวให้จำเลยครอบครองมา ๑๗ ปีแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้อง และว่าไม่มีกฎหมายห้ามคนต่างด้าวถือกรรมสิทธิที่ดิน
ศาลชั้นต้นสืบพะยานโจกท์ ๔ ปาก เห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงสั่งงดสืบพะยานจำเลย แล้ววินิจฉัยวา่ พะยานหลักฐานโจทก์ไม่มั่นคง เชื่อไม่ได้ว่าได้มีการกู้เงินทำนาต่างดอกเบี้ย ให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ที่โจทก์ฎีกาว่าควรฟังพะยานจำเลยก่อนนั้น เมื่อศาลเห็นว่าพยานหลักฐานที่โจทก์สืบพอฟังเป็นยุตติได้ว่า คดีโจทก์ไม่เป็นความจริง ศาลมีอำนาจเต็มที่ที่จะงดสืบพะยานต่อไปได้ ตาม ป.ม.วิ.แพ่ง ม.๑๐๔ อนึ่งแม้ตัวจำเลยจะเป็นคนต่างด้าวมีกฎหมายว่าด้วยที่ดินอันเกี่ยกวับคนต่างด้าวใช้อยู่ประการใดก็ตาม ก็ไม่เป็นเหตุให้ศาลบังคับจำเลยคืนที่ดินให้โจทก์ได้
พิพากษายืน.