แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
เมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญากับจำเลยแล้ว สัญญาจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยย่อมระงับลง โจทก์ จำเลยจึงต้องกลับคืนสู่ฐานะดั่งที่เป็นอยู่เดิม ดังนั้น โจทก์จึงหามีสิทธิที่จะได้รับเงินค่าปรับตามสัญญาจากจำเลยอีกต่อไป โจทก์คงมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายดังที่ระบุไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคสี่ เท่านั้น จำเลยส่งมอบงานงวดที่ 9 ให้แก่โจทก์เมื่อพ้นกำหนดเวลาตามสัญญาไป 97 วัน โจทก์จึงจ่ายเงินค่าจ้างงานงวดดังกล่าวให้จำเลยไม่เต็ม โดยหักค่าปรับที่ส่งมอบงานล่าช้าตามสัญญาวันละ 2,000 บาทออกโดยจำเลยมิได้โต้แย้งไว้ ถือได้ว่าจำเลยได้ชำระค่าปรับในการส่งมอบงานงวดที่ 9 ล่าช้าให้แก่โจทก์ไปแล้ว สิทธิเรียกร้องขอลดค่าปรับก็เป็นอันขาดไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา383 วรรคแรก ศาลไม่ชอบที่จะหยิบยกค่าปรับส่วนนี้มาลดให้จำเลยอีก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันชำระค่าปรับและค่าเสียหายฐานผิดสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างหอพักนักศึกษาแพทย์เป็นเงินจำนวน6,224,000 บาท ให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดใช้เงินตามสัญญาค้ำประกันจำนวน 397,500 บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้การว่าไม่ได้ผิดสัญญา จำเลยทั้งสองถูกโจทก์กลั่นแกล้งจนไม่สามารถจะทำงานต่อไปได้ จึงไม่ต้องรับผิดชอบตามฟ้องต่อโจทก์ โจทก์เรียกเบี้ยปรับไม่ถูกต้อง ฟ้องโจทก์ขาดอายุความแล้ว ขอให้ยกฟ้องส่วนจำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 1 มิได้ปฏิบัติผิดสัญญา โจทก์ไม่มีสิทธิเลิกสัญญากับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้องโจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันใช้เงินจำนวน 4,154,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดใช้เงินจำนวน 397,500 บาท แก่โจทก์ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 3 ใช้ดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 397,500 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่ศาลล่างทั้งสองรับฟังมา โดยคู่ความไม่ฎีกาโต้แย้งว่า เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2519จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการได้ทำสัญญากับโจทก์รับจ้างเหมาทำการก่อสร้างหอพักนักศึกษาแพทย์ของคณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล โดยแบ่งงานและการจ่ายค่าจ้างออกเป็น10 งวด กำหนดแล้วเสร็จภายในวันที่ 24 ธันวาคม 2520 ต่อมามีการต่ออายุสัญญาออกไปถึงวันที่ 17 สิงหาคม 2521 ในการทำสัญญาจ้างดังกล่าว จำเลยที่ 3 ได้ทำหนังสือสัญญาค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญาของจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์เป็นเงิน 397,500 บาท เมื่อครบกำหนดตามสัญญาแล้ว จำเลยที่ 1 ทำงานเสร็จเพียง 8 งวด แต่ยังคงทำการก่อสร้างต่อมาจนเสร็จงานงวดที่ 9 โดยส่งมอบงานงวดดังกล่าวเลยกำหนดไป 97 วัน โจทก์จึงจ่ายเงินค่าจ้างงานงวดที่ 9 ให้จำเลยที่ 1ไม่เต็ม โดยหักค่าปรับที่ส่งมอบงานล่าช้าวันละ 2,000 บาท ตามสัญญารวมเป็นเงิน 194,000 บาทไว้ ส่วนงานงวดที่ 10 ซึ่งเป็นงวดสุดท้ายจำนวนเงิน 1,200,000 บาท นั้น จำเลยที่ 1 ละทิ้งงานเป็นการผิดสัญญาโจทก์จึงบอกเลิกสัญญากับจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2524และได้ทำสัญญาจ้างเหมาบริษัทธรรมรัตน์ก่อสร้าง จำกัด ทำการก่อสร้างต่อจากงานที่จำเลยที่ 1 ทำค้างไว้เป็นเงิน 4,600,000 บาทบริษัทดังกล่าวได้ทำการก่อสร้างจนแล้วเสร็จภายในกำหนดสัญญาในวันที่ 4 ตุลาคม 2525 การที่จำเลยที่ 1 ละทิ้งงานทำให้โจทก์ต้องจ่ายค่าจ้างในการก่อสร้างเพิ่มขึ้นอีก 3,400,000 บาท
ที่โจทก์ฎีกาประการแรกว่า โจทก์มีสิทธิได้ค่าปรับจากจำเลยจนถึงวันที่ 4 ตุลาคม 2525 อันเป็นวันที่ผู้รับจ้างรายใหม่ทำงานเสร็จ ไม่ใช่ถึงวันที่โจทก์บอกเลิกสัญญาคือวันที่ 23 มีนาคม2524 ดังคำวินิจฉัยของศาลล่างทั้งสองนั้น โจทก์นำสืบว่าตามสัญญาจ้างเหมาทำการก่อสร้าง ข้อ 5 ได้ระบุเกี่ยวกับเงินค่าปรับในกรณีที่จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาเป็นใจความว่า จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดชำระค่าปรับเป็นรายวัน วันละ 2,000 บาท จนกว่างานก่อสร้างรายนี้จะแล้วเสร็จ โดยการกระทำของจำเลยที่ 1 เองหรือการกระทำของผู้รับจ้างคนใหม่ ปรากฏว่างานก่อสร้างรายนี้ได้แล้วเสร็จโดยการกระทำของผู้รับจ้างคนใหม่เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2525 ส่วนจำเลยทั้งสามไม่สืบพยาน ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญากับจำเลยที่ 1ทำให้สัญญาจ้างระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 ระงับลงแล้ว โจทก์จำเลยที่ 1 จำต้องกลับคืนสู่ฐานะดั่งที่เป็นอยู่เดิม แม้สัญญาจ้างเหมาทำการก่อสร้างจะกำหนดให้จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชำระค่าปรับแก่โจทก์จนกว่างานก่อสร้างจะแล้วเสร็จก็ตาม โจทก์ก็หามีสิทธิที่จะได้รับเงินค่าปรับนั้นอีกต่อไปไม่ เนื่องจากสัญญาดังกล่าวได้ระงับลงแล้ว โจทก์คงมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1ดังที่ระบุไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคสี่เท่านั้น ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้โจทก์ได้รับค่าปรับจากจำเลยจนถึงวันที่โจทก์บอกเลิกสัญญา คือวันที่ 23 มีนาคม 2524 จึงชอบแล้วฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ที่โจทก์ฎีกาต่อไปว่า ศาลล่างทั้งสองนำเอาเบี้ยปรับจำนวน194,000 บาท ซึ่งคำนวณจากวันที่ 18 สิงหาคม 2521 ถึงวันที่ 22พฤศจิกายน 2521 ที่โจทก์หักไว้มาวินิจฉัยอีกเป็นการคลาดเคลื่อนเพราะมีผลเท่ากับว่า ศาลใช้ดุลพินิจลดค่าปรับในส่วนนี้เป็นเงิน97,000 บาทด้วยนั้น ข้อเท็จจริงได้ความจากพยานหลักฐานของโจทก์โดยจำเลยทั้งสามไม่สืบพยานว่า เมื่อมีการต่ออายุสัญญาออกไปถึงวันที่ 17 สิงหาคม 2521 แล้ว จำเลยที่ 1 ได้ส่งงานงวดที่ 9 ให้แก่โจทก์ในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2521 พ้นกำหนดเวลาตามสัญญาไป 97 วันโจทก์จึงจ่ายเงินค่าจ้างงานงวดที่ 9 ให้จำเลยที่ 1 ไม่เต็ม โดยหักค่าปรับที่ส่งมอบงานล่าช้าตามสัญญาวันละ 2,000 บาท รวมเป็นเงิน194,000 บาทไว้ เมื่อศาลล่างทั้งสองให้ลดเบี้ยปรับลงมาเหลือวันละ1,000 บาท โดยให้นับย้อนไปตั้งแต่วันที่จำเลยที่ 1 ผิดนัดส่งมอบงานงวดที่ 9 คือ วันที่ 18 สิงหาคม 2521 จนถึงวันบอกเลิกสัญญาคือวันที่ 23 มีนาคม 2524 รวม 948 วัน เป็นเงิน 948,000 บาท แล้วนำเงินค่าปรับที่โจทก์หักจากเงินค่าจ้างงวดที่ 9 จำนวน 194,000 บาทมาหักออกจากเงินค่าปรับดังกล่าว จึงคงให้จำเลยรับผิดชำระค่าปรับต่อโจทก์เพียง 754,000 บาทนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อจำเลยที่ 1ผิดนัดส่งมอบงานงวดที่ 9 ล่าช้าไป 97 วัน โจทก์ได้ใช้สิทธิตามสัญญาหักเงินค่าปรับวันละ 2,000 บาท เป็นเงิน 194,000 บาท ออกจากค่าจ้างงานงวดที่ 9 แล้วจ่ายเงินคงเหลือให้จำเลยที่ 1 รับไปแล้วโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้โต้แย้งไว้ ถือได้ว่าจำเลยที่ 1ได้ชำระค่าปรับในการส่งมอบงานงวดที่ 9 ล่าช้า ตั้งแต่วันที่ 18สิงหาคม 2521 ถึงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2521 ให้แก่โจทก์จำนวน194,000 บาทไปแล้วสิทธิเรียกร้องที่ขอลดก็เป็นอันขาดไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 วรรคแรก ที่ศาลล่างทั้งสองหยิบยกค่าปรับในส่วนนี้ขึ้นมาวินิจฉัยจึงเป็นการไม่ชอบ จำเลยจึงต้องชำระค่าปรับให้แก่โจทก์วันละ 1,000 บาท นับตั้งแต่วันที่ 23พฤศจิกายน 2521 อันเป็นวันต่อจากวันที่โจทก์หักค่าปรับจากค่าจ้างงานงวดที่ 9 ของจำเลยที่ 1 ไว้แล้ว ไปจนถึงวันที่โจทก์บอกเลิกสัญญาคือวันที่ 23 มีนาคม 2524 รวม 851 วัน เป็นเงินค่าปรับ 851,000 บาทเมื่อรวมกับค่าเสียหายอีก 3,400,000 บาทแล้ว จึงเป็นเงินที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 จะต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสิ้น 4,251,000 บาท ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันใช้เงินจำนวน4,251,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์