แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำผิดกฎหมายต่างกรรมต่างวาระกัน คือ ได้บังอาจลักทรัพย์รวม 49 รายการ โดยลักไปครั้งละ 1 และ 2 รายการ จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องแล้วศาลสอบโจทก์ โจทก์แถลงว่า ตามทางสอบสวนได้ความว่าจำเลยลักเอาทรัพย์รายนี้ไปรวม 40 ครั้ง และศาลสอบจำเลย ๆ ก็รับว่าลักไปรวม 40 ครั้งจริง ดังนี้ ศาลก็ลงโทษจำเลยทุกกรรมเรียงกระทงรวม 40 กระทงมิได้ เพราะฟ้องโจทก์มิได้บรรยายไว้ดังคำแถลงของโจทก์ และแม้คำฟ้องนี้จะมิได้ระบุให้ชัดเจนว่าจำเลยลักทรัพย์รายนี้รวมกี่ครั้ง ครั้งไหนกี่รายการ และครั้งไหนจำเลยลักอะไร แต่เมื่อจำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี มิได้หลงต่อสู้แล้ว ฟ้องโจทก์มิใช่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นลูกจ้างของเทศบาลนครเชียงใหม่ ได้กระทำผิดกฎหมายต่างกรรมต่างวาระกัน คือ เมื่อระหว่างตั้งแต่วันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๐๕ ถึง ๒๔ ตุลาคม ๒๕๐๕ เวลากลางวันและกลางคืนจำเลยได้ลักปากกาหมึกซึม ติดต่อ และนาฬิกา รวม ๔๙ รายการ รวมราคา ๒๐,๑๕๐ บาท ซึ่งอยู่ในความดูแลรักษาและรับผิดชอบของนายกะจี่ นางสาวศิริและเทศบาลนครเชียงใหม่ ซึ่งเป็นนายจ้างของจำเลยไป ในการลักทรัพย์ดังกล่าวจำเลยลักไปครั้งละ ๑ และ ๒ รายการ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕,๙๑ และให้ใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน
จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นสอบโจทก์ว่า ตามฟ้องโจทก์ว่าจำเลยทำผิดต่างกรรมต่างวาระกันนั้น ตามทางสอบสวนได้ความว่า จำเลยลักทรัพย์ไปต่างกรรมต่างวาระกันสักกี่ครั้ง โจทก์แถลงว่าตามทางสอบสวนได้ความว่า จำเลยลักทรัพย์รายนี้ไปรวม ๔๐ ครั้ง ศาลสอบจำเลย ๆ แถลงรับว่าลักทรัพย์รายนี้ไปรวม ๔๐ ครั้งจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๓๕ จำเลยลักทรัพย์รวม ๔๐ ครั้ง ทุกครั้งเป็นความผิดมีโทษเสมอกัน ไม่มีกระทงโทษหนักที่สุดต้องระวางโทษทุกกระทงความผิดกระทงละ ๖ เดือน รวม ๔๐ กระทง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๙๑ เป็นโทษจำคุก ๒๐ ปี รับ ลดกึ่ง คงจำคุก ๑๐ ปี กับให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยเรียงกระทงนั้นเป็นโทษหนักไปแม้โทษทั้ง ๔๐ กระทงจะหนักเท่ากัน ศาลย่อมใช้ดุลพินิจลงโทษจำเลยกระทงเดียวได้ พิพากษาแก้ให้ลงโทษจำเลยกระทงเดียว คงจำคุก ๕ ปี ลดโทษให้ ๑ ใน ๕ คงจำคุก ๔ ปี
โจทก์จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
๑. ที่โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยทุกกรรม เรียงกระทงลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนั้น เห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นสอบถามโจทก์จำเลย และโจทก์จำเลยแถลงว่าจำเลยลักทรัพย์รายนี้ไปรวม ๔๐ ครั้งนั้น เป็นการสอบถามนอกประเด็น แม้จำเลยจะแถลงรับเช่นนั้น ก็ลงโทษจำเลยทุกกรรมเรียงกระทงรวม ๔๐ กระทงมิได้ เพราะฟ้องมิได้บรรยายไว้ดังคำแถลงของโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยกระทงเดียวจึงชอบแล้ว
๒. ที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องเคลือบคลุม โดยอ้างเหตุว่าโจทก์มิได้ระบุให้ชัดเจนว่าที่จำเลยลักทรัพย์ ๔๙ รายการและลักไปครั้งละ ๑ และ ๒ รายการนั้น รวมทั้งหมดกี่ครั้ง ครั้งไหนกี่รายการ และครั้งไหนลักอะไร นั้น เห็นว่า ฟ้องของโจทก์เพียงแต่มิได้ระบุว่าจำเลยลักทรัพย์รายนี้ไปรวมกี่ครั้งเท่านั้น ซึ่งศาลฎีกาก็ได้วินิจฉัยให้เป็นคุณแก่จำเลยแล้ว ทั้งจำเลยเข้าใจข้อกล่าวหาได้ดี และมิได้หลงต่อสู้ ฟ้องของโจทก์จึงมิใช่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
พิพากษาแก้ เป็นว่าให้ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกสองปีหกเดือน