แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าผู้ว่าราชการจังหวัดจำเลยที่3ออกคำสั่งให้ปลัดเทศบาลจำเลยที่5จดข้อความลงในทะเบียนบ้านว่าโจทก์ทั้งหกเป็นญวนอพยพโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจำเลยที่1และปลัดกระทรวงมหาดไทยจำเลยที่2ผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่3และที่5ต้องรับผิดร่วมด้วยดังนี้แม้การถอนสัญชาติไทยจะเป็นผลของประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่337มิใช่เป็นการกระทำของจำเลยแต่ก็เป็นการโต้แย้งสิทธิในเรื่องสัญชาติของโจทก์ทั้งโจทก์ไม่ได้ฟ้องให้จำเลยรับผิดเพราะจำเลยเพิกถอนสัญชาติโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง โจทก์ที่1เป็นบุตรของนางด. คนสัญชาติไทยเกิดกับอ.คนสัญชาติญวนโจทก์ที่2เป็นบุตรของโจทก์ที่1เกิดกับม.คนสัญชาติญวนส่วนโจทก์ที่3ถึงที่6เป็นบุตรของโจทก์ที่1เกิดกับน. โจทก์ทั้งหกเกิดในราชอาณาจักรไทยและบิดาของโจทก์ทุกคนเป็นบิดาที่มิชอบด้วยกฎหมายเช่นนี้โจทก์ที่1ไม่ถูกถอนสัญชาติไทยตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่337เพราะอ. เป็นบิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ที่1บุคคลที่เกิดในราชอาณาจักรไทยจะถูกถอนสัญชาติไทยโดยเหตุที่บิดาเป็นคนต่างด้าวตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าวนั้นจะต้องเป็นบิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อโจทก์ที่1มารดาของโจทก์ที่2ไม่ใช่คนต่างด้าวและม.ก็มิใช่บิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ที่2กรณีจึงไม่ต้องด้วยประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่337ข้อ1(2)อันจะเป็นผลให้โจทก์ที่2ถูกถอนสัญชาติไทยกรณีเช่นเดียวกับโจทก์ที่3ถึงโจทก์ที่6ที่โจทก์ที่1ซึ่งเป็นมารดามิได้เป็นคนต่างด้าวจึงไม่ถูกถอนสัญชาติไทยเช่นกัน.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นคนสัญชาติไทย เกิดในราชอาณาจักรไทย เป็นบุตรนางเดือน คนสัญชาติไทยและนายอ่อน บิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย คนสัญชาติญวนที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยถูกต้องโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 6 เป็นบุตรของโจทก์ที่ 1 เกิดในราชอาณาจักรจึงได้สัญชาติไทย ต่อมา จำเลยที่ 3 ในฐานะผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ได้แจ้งให้จำเลยที่ 4 และที่ 5 ในฐานะเป็นนายอำเภอเมืองอุบลราชธานี และปลัดเทศบาลเมืองอุบลราชธานีตามลำดับว่าโจทก์ทั้งหกเป็นคนต่างด้าวสัญชาติญวน เป็นญวนอพยพ มีบิดาเป็นญวนอพยพ ได้ถูกถอนสัญชาติไทยตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337จำเลยที่ 4 ได้จดข้อความลงในทะเบียนบ้านว่า โจทก์ทั้งหกเป็นคนญวนอพยพอันเป็นการกระทำตามหน้าที่และคำสั่งของทางราชการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และปลัดกระทรวงมหาดไทย จำเลยที่ 1และที่ 2 ตามลำดับจึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยอื่นด้วย ขอให้พิพากษาว่าโจทก์ทั้งหกเป็นคนสัญชาติไทย ให้ดจำเลยร่วมกันเพิกถอนข้อความที่ว่าโจทก์เป็นคนญวนอพยพในทะเบียนบ้าน
จำเลยทั้งห้าให้การว่า โจทก์ที่ 1 เป็นคนญวนต่างด้าว นายอ่อนและนางเดือนบิดามารดาโจทก์ที่ 1 เป็นญวนอพยพเข้าเมืองมาโดยมิชอบโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 6 เป็นบุตรของหญิงญวนอพยพ โจทก์ทั้งหมดไม่ใช่คนสัญชาติไทย ส่วนจำเลยทั้งหมดเป็นข้าราชการมีหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมาย การเสียสัญชาติไทยเป็นไปตาม ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 337มิใช่ตามคำสั่งของจำเลย โจทก์เข้าใจเองว่า การปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยเป็นการโต้แย้งสิทธิของตน กรณีไม่ใช่การโต้แย้งสิทธิของโจทก์ และฟ้องขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาว่า โจทก์มีอำนาจฟ้อง คดีไม่ขาดอายุความพิพากษาว่าโจทก์ทั้งหกเป็นคนสัญชาติไทย ให้เพิกถอนข้อความที่ว่าโจทก์เป็นคนญวนอพยพออกจากทะเบียนบ้านโจทก์
จำเลยทั้งห้าอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 4 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1, ที่ 2, ที่ 3 และที่ 5 ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ที่ 1 เป็นบุตรของนางเดือนแซ่เตียว ซึ่งเกิดกับนายอ่อน โฮเตียวหรือแซ่เตียว นางเดือนมีสัญชาติไทย นายอ่อนมีสัญชาติญวน โจทก์ที่ 2 เป็นบุตรของโจทก์ที่ 1ซึ่งเกิดกับนายมินคนสัญชาติญวน ส่วนโจทก์ที่ 3, ที่ 4, ที่ 5 และที่ 6 เป็นบุตรของโจทก์ที่ 1 ซึ่งเกิดกับนายนิพนธ์ โจทก์ทั้งหกเกิดในราชอาณาจักรไทยและบิดาของโจทก์ทุกคนเป็นบิดาที่มิชอบด้วยกฎหมาย
ในปัญหาที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ที่ 1 เกิดในระหว่างที่นายอ่อนบิดาเป็นญวนอพยพลี้ภัยการเมืองเข้ามาในประเทศ โดยได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรไทยเพียงชั่วคราวโจทก์ที่ 1 จึงถูกถอนสัญชาติไทย ตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 337 ข้อ 1(2) นั้นศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “บุคคลที่เกิดในราชอาณาจักรไทย จะถูกถอนสัญชาติไทยโดยเหตุที่บิดาเป็นคนต่างด้าว ตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าวนั้น จะต้องเป็นกรณีที่บิดาของผู้นั้นเป็นบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายดังที่ศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้เป็นบรรทัดฐานในคำพิพากษาฎีกาที่ 468/2524 ระหว่าง นางสาวดาว เกษสิมมา กับพวก ผู้ร้องผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ผู้คัดค้าน ฉะนั้นเมื่อนายอ่อนเป็นบิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ กรณีก็ไม่ต้องด้วยประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าว โจทก์ที่ 1 จึงหาถูกถอนสัญชาติไทยไม่
สำหรับกรณีของโจทก์ที่ 2 นั้น จำเลยฎีกาว่าทั้งบิดามารดาของโจทก์ที่ 2 คือ โจทก์ที่ 1 และนายมินเป็นคนต่างด้าวสัญชาติญวนเป็นคนรญวนอพยพที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาอยู่ในประเทศไทยเพียงชั่วคราว โจทก์ที่ 2 จึงต้องถูกถอนสัญชาติไทย ตามประกาศของคณะปฎิวัติ ฉบับที่ 337 ข้อ 1(2) เช่นกัน วินิจฉัยว่า เมื่อโจทก์ที่ 1 มิอาจถูกถอนสัญชาติไทยดังได้วินิจฉัยมาแล้ว โจทก์ที่ 1ซึ่งเป็นมารดาของโจทก์ที่ 2 ก็มิใช่คนต่างด้าวและเมื่อนายมินก็มิใช่บิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ที่ 2 ด้วย กรณีจึงไม่ต้องด้วยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337 ข้อ 1(2) อันจะเป็นผลให้โจทก์ที่ 2 ถูกถอนสัญชาติไทยส่วนที่โจทก์ที่ 3 ถึงโจทก์ที่ 6 นั้นเมื่อโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นมารดาของโจทก์ที่ 3 ถึงโจทก์ที่ 6 มิได้เป็นคนต่างด้าวดังได้วินิจฉัยมาแล้ว จึงไม่ถูกถอนสัญชาติไทยเช่นกัน
สำหรับฎีกาของจำเลยในเรื่องอำนาจฟ้องนั้น จำเลยฎีกาว่าจำเลยที่ 3 ไม่มีอำนาจเพิกถอนสัญชาติ และไม่ได้สั่งเพิกถอนสัญชาติของโจทก์ จำเลยที่ 5 เพียงแต่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาไม่ได้เป็นผู้เพิกถอนสัญชาติขจองโจทก์เช่นกัน โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยในคดีนี้ เพราะโจทก์ถูกถอนสัญชาติโดยกฎหมาย ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้การถอนสัญชาติเป็นผลของประกาศของคณะปฏิวัติมิใช่เป็นการกระทำของจำเลย แต่โจทก์ฟ้องด้วยว่าจำเลยที่ 3 ได้ออกคำสั่งให้จำเลยที่ 5 จดข้อความลงในทะเบียนบ้านว่าโจทก์ทั้งหกเป็นญวนอพยพ เป็นการโต้แย้งสิทธิในเรื่องสัญชาติของโจทก์ ส่วนจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 เป็นผู้บังคับบัญชารับผิดชอบในการปฏิบัติงานของจำเลยที่ 3 และที่ 5 ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 3 และที่ 5โจทก์หาได้ฟ้องให้จำเลยรับผิดเพราะจำเลยเพิกถอนสัญชาติของโจทก์ดังจำเลยฎีกาไม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้”
พิพากษายืน.