แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้เสียหายเป็นนายตรวจสรรพสามิต จับจำเลยที่ 2 ในข้อหามีสุราผิดกฎหมายขณะหาไปจวนถึงหน้าร้านจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ล้วงปืนพกของผู้เสียหายด้วยเจตนาต่อสู้ขัดขวางการจับกุม มิได้มีเจตนาลัก แล้ววิ่งหนีไปส่งปืนให้จำเลยที่ 1 ผู้เป็นบิดา เป็นเวลากระทันหันในทันทีทันใด ไม่มีพฤติการณ์ให้รู้มาก่อนว่าจำเลยที่ 2 ถูกจับแล้วหนีมา ผู้เสียหายไม่แต่งเครื่องแบบ ทั้งไม่ได้แจ้งให้ทราบว่าปืนนั้นเป็นของตน การที่ผู้เสียหายเข้าแย่งปืนจำเลยที่ 1 ไม่ยอมให้นั้นน่าจะเพื่อมิให้เกิดเหตุร้ายเท่านั้น การที่จำเลยเอาปืนไว้ภายหลังจากที่ผู้เสียหายไปแจ้งความ ไม่พอถือว่ามีเจตนาทุจริตลักเอาปืนนั้นไว้ แม้ต่อมาภายหลังจำเลยจะต่อสู้คดีว่ามิได้เอาปืนไว้และผู้เสียหายยังไม่ได้ปืนคืน ก็ไม่พอบ่งว่าจำเลยมีเจตนาทุจริต จำเลยที่ 1 ไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์ แต่ศาลมีอำนาจสั่งให้จำเลยที่ 1 คืนหรือใช้ราคาปืนแก่ผู้เสียหายได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ผู้เสียหายเป็นนายตรวจสรรพสามิต จับจำเลยที่ ๒, ๓ ในข้อหามีสุราผิดกฎหมาย ขณะเดินทางไปสถานีตำรวจ จำเลยทั้งสี่ร่วมกันต่อสู้ขัดขวาง และร่วมกันปล้นปืนพก ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๘, ๑๔๐, ๓๔๐, ๘๓ ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๑ ข้อ ๓, ๑๔ ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ปล้นเอาไปแก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ ๒ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๘ วรรค ๒ จำเลยที่ ๒ อายุ ๑๓ ปี ไม่ต้องรับโทษ ได้ว่ากล่าวตักเตือนแล้วปล่อยตัวไป ยกฟ้องจำเลยที่ ๑, ๓, ๔
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยทุกคนตามฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ (๑) จำคุก ๑ ปี ให้จำเลยที่ ๑ คืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่ผู้เสียหาย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามที่ศาลล่างฟังมาว่า จำเลยที่ ๒ เอาปืนของผู้เสียหายไปนั้น จำเลยที่ ๒ กระทำไปโดยมีเจตนาเพื่อใช้ในการต่อสู้ขัดขวางการจับกุมของผู้เสียหาย มิได้มีเจตนาลัก เมื่อจำเลยที่ ๒ วิ่งหนีผู้เสียหายและเอาปืนไปด้วยนั้น น่าเชื่อตามคำเบิกความของผู้เสียหายว่าได้ส่งปืนให้จำเลยที่ ๑ ผู้เป็นบิดาซึ่งจำเลยที่ ๒ เรียกให้ช่วยจริง การที่จำเลยที่ ๑ รับปืนจากจำเลยที่ ๒ เป็นเวลากะทันหันในทันทีทันใด ไม่มีพฤติการณ์ให้จำเลยที่ ๑ ได้รู้มาก่อนว่าผู้เสียหายจับกุมจำเลยที่ ๒ แล้วหลบหนีมา ผู้เสียหายไม่แต่งเครื่องแบบ มิได้แจ้งให้จำเลยที่ ๑ ทราบว่าได้จับกุมจำเลยที่ ๒ ทั้ง ไม่ได้แจ้งให้จำเลยที่ ๑ ทราบว่าปืนที่จำเลยที่ ๒ ส่งให้จำเลยที่ ๑ เป็นปืนของผู้เสียหาย การที่ผู้เสียหายเข้าแย่งจะเอาปืนจากจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ไม่ยอมให้นั้นน่าจะกระทำไปเพื่อมิให้เกิดเหตุร้ายเท่านั้น ขณะนั้นพวกที่รับประทานสุราอาหารในร้านจำเลยที่ ๑ ได้เข้ามากลุ้มรุมทำร้ายผู้เสียหายโดยไม่ปรากฏว่าร่วมรู้กับจำเลยที่ ๑ มาก่อน ผู้เสียหายจึงเลิกแย่งปืนจากจำเลยที่ ๑ แล้วไปแจ้งความ การที่จำเลยที่ ๑ เอาปืนไว้ภายหลังจากที่ผู้เสียหายไปแจ้งความไม่พอถือว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตลักเอาปืนนั้นไว้ แม้ต่อมาภายหลังจำเลยจะต่อสู้คดีอ้างว่ามิได้เอาปืนของผู้เสียหายไว้ และผู้เสียหายยังไม่ได้ปืนคืน ก็ไม่พอบ่งว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตลักปืนของผู้เสียหาย จำเลยที่ ๑ ไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๑ ให้จำเลยที่ ๑ คืนปืนหรือใช้ราคา ๒,๕๐๐ บาทแก่ผู้เสียหาย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์